ฉีดไขมันใต้ตา VS ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
การฉีดไขมันใต้ตา คือหนึ่งในวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาใต้ตาลึกหรือเบ้าตาลึก ที่ส่งผลให้หน้าดูเหนื่อยล้า แก่กว่าวัยได้ครับ โดยเฉพาะในคนที่มีเบ้าตาลึกจากการสูญเสียไขมันบริเวณหน้า อันเนื่องมาจากอายุที่มากขึ้น
แต่ก็ยังมีหลายคนที่ลังเลว่า ฉีดไขมันใต้ตา VS ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เลือกฉีดอะไรดีกว่ากัน ? บทความนี้หมอจะมาเปรียบเทียบข้อเสีย-ข้อเสียให้เห็นกันครับ
ฉีดไขมันใต้ตา ช่วยเรื่องอะไร ? ฉีดไขมันแก้เบ้าตาลึกเห็นผลจริงไหม ? ก่อนเติมไขมันใต้ตาควรรู้อะไรบ้าง อยู่ได้ถาวรไหม คุ้มค่าไหม ? ฉีดไขมันใต้ตาราคาเท่าไหร่ ? ฉีดไขมันใต้ตาเป็นก้อน เกิดขึ้นได้ไหม ? อันตรายไหม ? ฉีดสลายไขมันใต้ตาได้ไหม ? พร้อมเปรียบเทียบฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา การผ่าตัดถุงใต้ตา เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจแก้ปัญหาใต้ตาลึกครับ
สารบัญ ฉีดไขมันใต้ตา
การฉีดไขมันใต้ตา คืออะไร ? ทำเพื่ออะไร ?
การฉีดไขมันใต้ตา (Under Eye Fat Injection) คือวิธีเติมเต็มใต้ตาด้วยการนำไขมันจากส่วนต่าง ๆ ในร่างกายของตัวคนไข้เอง เช่น หน้าท้อง สะโพก หรือขา มาผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ เพื่อให้ได้เฉพาะเซลล์ไขมันที่มีคุณภาพดี มีความสมบูรณ์ และมีโอกาสรอดชีวิตสูงเมื่อถูกย้ายไปยังตำแหน่งใหม่
ในขั้นตอนการฉีด แพทย์จะต้องฉีดในระดับความลึกที่เหมาะสม และกระจายไขมันให้สม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้ไขมันกองกันเป็นก้อน เป็นคลื่น หรือเกิดการยุบที่ไม่เท่ากัน ซึ่งต้องฉีดแล้วไขมันติดดี ถูกต้องตามตำแหน่งชั้นเนื้อเยื่อ จึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติครับ
สำหรับวัตถุประสงค์หลักของการฉีดไขมันใต้ตาก็เพื่อเพิ่มปริมาตรให้กับบริเวณที่มีการยุบตัวของไขมัน ไขมันที่ฉีดเข้าไปจะช่วยเพิ่มความหนาของผิวชั้นใต้ตา ช่วยลดริ้วรอย เติมร่องลึก ทำให้ผิวใต้ตาดูเรียบเนียน อิ่มฟูขึ้นครับ
ฉีดไขมันใต้ตาเหมาะกับใคร ? ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง ?
การฉีดไขมันใต้ตา เหมาะสำหรับคนที่มีเบ้าตาลึก มีริ้วรอยใต้ตาจากการยุบตัวของไขมันหรือผิวเสื่อมสภาพ โดยเฉพาะคนที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ที่เริ่มสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวบริเวณใต้ตาชัดเจนขึ้น และมีปริมาณไขมันในร่างกายเพียงพอสำหรับการนำมาใช้ในการฉีด
ในแง่ของการแก้ปัญหา การฉีดไขมันใต้ตาสามารถช่วยแก้ไขปัญหาหลายด้านครับ เช่น
- ช่วยแก้ปัญหาเบ้าตาลึก ตาโหล ที่เกิดจากการสูญเสียไขมัน ซึ่งทำให้เกิดร่องลึก และทำให้ใบหน้าดูอ่อนเพลีย
- ช่วยเพิ่มปริมาตรผิวในส่วนที่ยุบตัว ทำให้ใบหน้ากลับมามีมิติที่สมดุล ดูเต็มอิ่ม
- ช่วยเติมเต็มใต้ตาให้ดูสดใส ลดรอยคล้ำ ใต้ตาดูสดใสขึ้น
- ช่วยปรับสมดุลของปริมาตรไขมันในบริเวณนั้น ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ลดการมองเห็นถุงใต้ตา
- ช่วยเพิ่มความหนาของชั้นผิว ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น ลดความบอบบางของผิวใต้ตา
ทั้งนี้ไม่ใช่ทุกคนที่จะเหมาะกับการฉีดไขมันใต้ตาครับ เช่น คนที่มีโรคเลือดออกง่าย มีปัญหาการแข็งตัวของเลือด หรือมีโรคภูมิแพ้รุนแรง รวมถึงคนที่มีปริมาณไขมันในร่างกายน้อยเกินไป หมออาจแนะทางเลือกอื่น ๆ ที่เหมาะสมกว่า
ซึ่งในบทความนี้ หมอได้มีเขียนเปรียบเทียบการฉีดไขมันใต้ตากับหัตถการอื่น ๆ ที่สามารถแก้ปัญหาใต้ตาได้เหมือนกัน คนไข้ติดตามอ่านได้ครับ
ฉีดไขมันแก้เบ้าตาลึกเห็นผลจริงไหม ? อยู่ได้ถาวรไหม ?
ฉีดไขมันแก้เบ้าตาลึกได้จริงครับ ไขมันที่ฉีดจะไปช่วยเพิ่มปริมาตรใต้ตา ทำให้บริเวณที่ลึกหรือยุบลง กลับมาตื้นและเรียบเนียนขึ้น แต่จะไม่เห็นผลทันทีตั้งแต่ครั้งแรกเหมือนกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เพราะต้องใช้เวลาในการรวมกับเนื้อเยื่อ และไขมันบางส่วนจะถูกดูดซึมไปใช้เป็นพลังงาน ทำให้เห็นผลลัพธ์ไม่เต็มที่ครับ
ส่วนระยะเวลาผลลัพธ์ อาจอยู่ได้นานหรือถาวรถ้าไขมันติด (Take Graft) แต่ต้องยอมรับว่าไม่ใช่ทุกคนครับ จากข้อมูลในปัจจุบันพบว่า ประมาณ 70% ไม่ประสบความสำเร็จในระยะยาว เพราะเซลล์ไขมันจะค่อย ๆ ตายลงเมื่อไม่มีเส้นเลือดมาเลี้ยง ทำให้บริเวณที่ฉีดไขมันค่อย ๆ ยุบตัวลงเกือบทั้งหมดภายใน 6-12 เดือนครับ
การเติมไขมันใต้ตา มีข้อดี – ข้อเสีย อะไรบ้าง ?
ข้อดีของการเติมไขมันใต้ตา
- ถ้าไขมันติดดีแล้ว ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานกว่า 1 ปี (ขึ้นอยู่กับบุคคล)
- ปลอดภัย ลดความเสี่ยงในการแพ้หรือการต่อต้านจากระบบภูมิคุ้มกัน เพราะเป็นการใช้ไขมันจากร่างกายตัวเอง ไม่ใช่สิ่งแปลกปลอม
- ช่วยให้ใต้ตาดูตื้นขึ้น ลดความหมองคล้ำ และริ้วรอยใต้ตาได้ดี ทำให้ใบหน้าดูสดใส และอ่อนเยาว์
- ราคาไม่แพง ถ้าเทียบกับการฉีดฟิลเลอร์ที่ต้องใช้จำนวน CC เยอะ
- เหมาะกับการฉีดเติมเต็มตำแหน่งที่กว้าง ๆ หรือต้องการเพิ่ม volume มาก ๆ เช่น ขมับ แก้มตอบ หน้าผาก ที่ต้องใช้ cc เยอะ เหมาะกับคนที่หน้ายุบมาก ๆ
ข้อเสียของการเติมไขมันใต้ตา
- มีอาการบวม ช้ำ ค่อนข้างมาก ต้องใช้เวลาพักฟื้น 1-2 สัปดาห์ ไขมันจะเข้าที่ประมาณ 2-3 เดือน
- มีขั้นตอนยุ่งยาก และใช้เวลานาน
- หากต้องการให้ได้ผลดี ต้องทำซ้ำ เจ็บตัวหลายครั้ง จึงไม่เหมาะกับคนที่กลัวเข็ม กลัวเจ็บ
- มีแผลขนาดเล็กประมาณ 3-5 มม. จากการดูดไขมัน
- ให้ผลลัพธ์ที่ไม่แน่นอน เพราะเซลล์ไขมันที่ฉีดอาจไม่ยึดติดได้ดีในบางจุด
- มีโอกาสที่ไขมันจะถูกดูดซึมและยุบลงไม่เท่ากัน ทำให้ผิวไม่เรียบเนียนหรือผิวเป็นคลื่น
- ไม่สามารถปรับแต่งรายละเอียดได้ดี เช่น ดอลลี่อายหรือบริเวณริมฝีปาก
- มีโอกาสเกิดพังผืดมากกว่าการฉีดฟิลเลอร์
- เสี่ยงต่อการเกิดเนื้อตาย หากฉีดไขมันอุดตันเส้นเลือด ซึ่งไม่สามารถฉีดสลายได้เหมือนฟิลเลอร์
- ไม่สามารถแก้ปัญหาใต้ตาลึกที่มีสาเหตุจากการยุบตัวจากกระดูกได้
- หากไม่พอใจผลลัพธ์จะทำการแก้ไขได้ยาก ต้องดูดออกหรือผ่าตัดขูดเอาไขมันออก
ข้อควรทราบ และการเตรียมตัวก่อน – หลังฉีดไขมันใต้ตา
การเติมไขมันใต้ตา เป็นหัตถการที่ต้องใช้ความระมัดระวัง และการเตรียมตัวที่เหมาะสมทั้งก่อนและหลังฉีด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงต่าง ๆ หมอแนะนำให้คนไข้ปฏิบัติตัวเพื่อเตรียมความพร้อมดังนี้ครับ
การเตรียมตัวก่อนฉีดไขมันใต้ตา
- เข้าพบแพทย์ เพื่อประเมินสภาพผิว และรับคำแนะนำอย่างละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนการฉีดไขมัน รวมถึงการเตรียมตัวก่อนการทำหัตถการ
- งดอาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาแอสไพริน ยาต้านการอักเสบ หรืออาหารเสริมบางชนิด เช่น น้ำมันปลา วิตามินอี อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนการฉีด
- งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนการฉีด เพราะมีผลต่อการไหลเวียนเลือด
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้เซลล์ในร่างกายฟื้นตัวอย่างเต็มที่
การดูแลหลังฉีดไขมันใต้ตา
- ในช่วงแรกหลังฉีด ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณใต้ตา เพื่อลดโอกาสการเคลื่อนตัวของไขมัน และช่วยให้ไขมันยึดติดกับเนื้อเยื่อได้ดี
- ควรนอนในท่าศีรษะยกสูงประมาณ 1-2 สัปดาห์หลังฉีด เพื่อช่วยลดอาการบวม และป้องกันการเคลื่อนตัวของไขมัน
- ในช่วง 1-2 วันแรกหลังฉีด สามารถประคบเย็นบริเวณรอบดวงตา เพื่อช่วยลดอาการบวมและฟกช้ำ แต่ต้องระวังไม่ให้กดแรงเกินไป
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก การอาบน้ำร้อน หรือการอบซาวน่าในช่วง 2-4 สัปดาห์หลังฉีด
- งดแต่งหน้า ทาครีม อย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่แผล
- ทานยาตามแพทย์สั่งให้ครบ เพื่อป้องกันการอักเสบ ลดอาการบวม และป้องกันการติดเชื้อ
- งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1 เดือน
ฉีดไขมันใต้ตาอันตรายไหม ? มีผลข้างเคียงไหม ?
การฉีดไขมันเบ้าตาลึก ถือเป็นหัตถการที่ค่อนข้างปลอดภัยครับ เพราะเป็นการใช้ไขมันของตัวเอง จึงช่วยลดโอกาสการแพ้หรือปฏิกิริยาต่อต้านจากร่างกายเมื่อเทียบกับสารเติมเต็มอื่น ๆ หลังฉีดอาจพบการบวม ฟกช้ำ หรืออาการตึงบริเวณใต้ตา ถือว่าเป็นอาการปกติครับ จะค่อย ๆ หายไปภายใน 1-2 สัปดาห์
แต่หากฉีดไขมันใต้ตากับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์มากพอ ฉีดไขมันเข้าเส้นเลือด ซึ่งตามรายงานจากต่างประเทศพบว่า มีเคสที่เนื้อตาย หรือตาบอดจากการฉีดไขมันสูงกว่าฟิลเลอร์มาก ๆ เพราะไขมันไม่มีเอนไซม์ที่ใช้ย่อยสลายได้ในทันทีหากฉีดเข้าหลอดเลือด จะแก้ไขได้ยาก และต้องรีบแก้ไขภายใน 90 นาที หากไม่ทัน อาจทำให้ตาบอดถาวรได้ครับ
ข้อควรรู้ : ฟิลเลอร์ชนิด Hyaluronic acid มีโอกาสเกิดภาวะนี้ได้เช่นเดียวกัน แต่เกิดขึ้นได้น้อยกว่า และการแก้ไขก็ง่ายกว่ามาก เพราะมีตัวยาที่ชื่อ Hyaluronidase ที่สามารถละลายฟิลเลอร์ได้หมด 100% ทันที หากแพทย์พบว่าฟิลเลอร์เข้าเส้นเลือดก็จะสามารถแก้ไขได้ สลายฟิลเลอร์ที่อุดตันได้ทันทีครับ
ฉีดไขมันใต้ตาเป็นก้อน เกิดขึ้นได้ไหม ? แก้ไขอย่างไร ?
ฉีดไขมันใต้ตาแล้วเป็นก้อน มีโอกาสเกิดขึ้นได้ครับ สาเหตุหลักมักมาจาก
- การฉีดไขมันในปริมาณที่มากเกินไปในจุดเดียว
- การกระจายตัวของไขมันที่ไม่สม่ำเสมอ
- หากไขมันไม่ยึดติดกับเนื้อเยื่อใต้ตาได้ดี หรือเซลล์ไขมันบางส่วนตายลง อาจทำให้เกิดความไม่สม่ำเสมอของผิวใต้ตา และมองเห็นเป็นก้อนได้ชัดเจน
- แพทย์ไม่มีประสบการณ์เพียงพอ หรือฉีดไขมันในชั้นผิวที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ไขมันกระจุกตัวและไม่กระจายตัวได้ดี
การแก้ไขปัญหาก้อนไขมันสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับขนาดและระยะเวลาที่เกิดก้อน หมอจะอธิบายในหัวข้อถัดไปครับ
ฉีดสลายไขมันใต้ตาได้ไหม ?
ในกรณีที่ผลลัพธ์จากการฉีดไขมันใต้ตาไม่เป็นที่พึงพอใจ มีการจับตัวเป็นก้อนหรือผิวไม่เรียบเนียน จะไม่สามารถฉีดสลายไขมันได้เหมือนกับฉีดสลายฟิลเลอร์ครับ
หากฉีดไขมันใต้ตาแล้วเป็นก้อน จะมีวิธีแก้ไข ดังนี้
- ในระยะแรก (1-2 สัปดาห์แรก) สามารถนวดเบา ๆ เพื่อให้ไขมันกระจายตัวได้ดีขึ้น แต่ต้องทำด้วยควาาตัด ไม่อยากมีแผล ไม่ต้องการพักมระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดการบาดเจ็บเพิ่มเติม
- สำหรับก้อนที่เกิดขึ้นภายหลัง อาจใช้เครื่องอัลตร้าซาวด์เพื่อช่วยสลายก้อนไขมัน วิธีนี้ไม่ต้องผ่าตัดและช่วยให้ไขมันกระจายตัวได้ดีขึ้น
- ในกรณีที่เป็นก้อนขนาดใหญ่ อาจจำเป็นต้องผ่าตัดแก้ไขหรือดูดไขมันออก ซึ่งแพทย์จะพิจารณาเป็นรายกรณีไป
หากเกิดปัญหาก้อนไขมัน การแก้ไขควรดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ซึ่งถ้าหากไม่อยากให้เกิดข้อผิดพลาด ควรตัดสินใจเลือกฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านนี้โดยเฉพาะ เพราะการฉีดไขมันใต้ตาต้องอาศัยความแม่นยำและเทคนิคเฉพาะตัวของแพทย์ เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดก้อนไขมันครับ
ฉีดไขมันใต้ตา ราคา คุ้มค่ากับผลลัพธ์หลังฉีดไหม ?
ฉีดไขมันใต้ตา ราคาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 15,000 – 60,000 บาท ถ้าฉีดทั่วหน้า ต้องการเพิ่มวอลุ่มมาก ๆ ราคาก็อาจเหยียบหลักแสนครับ ขึ้นอยู่กับจำนวน CC ที่ใช้, เทคนิคการฉีดของแพทย์ และโปรโมชั่นของแต่ละคลินิก แม้ราคาจะสูงกว่าการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แต่ถือว่าคุ้มค่าในระยะยาว เพราะอยู่ได้นาน 3-5 ปี หรืออาจถาวร หากไขมันที่ฉีดติดเนื้อเยื่อได้ดี
แต่ถ้าคนที่ต้องการเห็นผลเร่งด่วน หรือคุณภาพของไขมันที่นำมาฉีดนั้นไม่ดี ก็อาจจะไม่คุ้มครับ เพราะโอกาสที่ไขมันจะติดกับเนื้อเยื่อนั้นน้อยมาก ทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง และอาจต้องฉีดเติมในภายหลัง ในกรณีการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะตอบโจทย์มากกว่าครับ
หัตถการใต้ตา นอกจากการเติมไขมัน แล้วมีวิธีไหนอีกบ้าง ?
การแก้ไขปัญหาผิวใต้ตา เช่น เบ้าตาลึก ริ้วรอย หรือถุงใต้ตา สามารถทำได้หลายหัตถการครับ นอกจากการเติมไขมันใต้ตาแล้ว ยังมีทางเลือกอื่นที่ได้รับความนิยม ได้แก่ การผ่าตัดถุงใต้ตา และ การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดี ข้อเสีย และเหมาะสมกับปัญหาที่แตกต่างกัน
ผ่าตัดถุงใต้ตา
การผ่าตัดถุงใต้ตา เหมาะกับคนที่มีปัญหาถุงใต้ตาชัดหรือหย่อนคล้อย ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีอื่น การผ่าตัดจะช่วยลดถุงไขมันส่วนเกินใต้ตา พร้อมกับปรับผิวบริเวณใต้ตาให้เรียบเนียนและกระชับมากขึ้น ผลลัพธ์ของการผ่าตัดถุงใต้ตาเป็นการแก้ปัญหาแบบถาวร ทำให้ไม่ต้องกลับมาทำซ้ำบ่อย ๆ
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นวิธีแก้ปัญหาใต้ตาที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เป็นการใช้สาร Hyaluronic Acid เติมเต็มบริเวณใต้ตาเพื่อเพิ่มวอลุ่ม ลดรอยคล้ำ ทำให้ใต้ตาดูสดใสขึ้น หน้าเด็กลง ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ หลังฉีดเห็นผลทันที อยู่ได้นาน 6-24 เดือน เหมาะกับคนที่ต้องการแก้ไขปัญหาใต้ตาแบบเร่งด่วน กลัวการผ่าตัด ไม่อยากมีแผล ไม่ต้องการพักฟื้น
เปรียบเทียบ ฉีดไขมันใต้ตา VS ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา VS ผ่าตัดถุงใต้ตา
วิธีการ | ข้อดี | ข้อเสีย | ระยะเวลาผลลัพธ์ | ระยะพักฟื้น |
---|---|---|---|---|
ฉีดไขมันใต้ตา |
|
| อาจอยู่ได้นาน หรือ ถาวรถ้าไขมันติดดี (Take Graft) แต่ส่วนใหญ่จะได้ผลไม่ถาวร เพราะร่างกายดึงไขมันไปใช้ | ต้องใช้เวลาพักฟื้น 1-2 สัปดาห์ ไขมันจะเข้าที่ประมาณ 2-3 เดือน |
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา |
|
| อยู่ได้ 6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเอง และรุ่นฟิลเลอร์ที่ใช้ | ไม่ต้องพักฟื้น ไม่มีแผล ฟิลเลอร์เข้าที่ใน 2 สัปดาห์ |
ผ่าตัดถุงใต้ตา |
|
| อยู่ได้ถาวร | ต้องพักฟื้นนาน ประมาณ 1-2 เดือนเพื่อให้บวมและฟกช้ำหายสนิท |
เลือกสถานพยาบาลทำหัตถการใต้ตาอย่างไรให้ปลอดภัย ?
- คลินิกควรได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข มีมาตรฐานด้านความปลอดภัยและความสะอาด มีใบอนุญาตประกอบกิจการอย่างถูกต้อง
- เลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ และได้รับการรับรองจากแพทยสภา
- ดูรีวิวและผลงานจากผู้ใช้บริการจริง
- สถานที่และอุปกรณ์ต้องมีมาตรฐานความสะอาดและปลอดเชื้อ
- มีการให้คำปรึกษาที่ชัดเจนและครบถ้วน
- มีบริการติดตามผลหลังหัตถการ
- ราคาสมเหตุสมผล
เลือกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ V Square Clinic เห็นผลและปลอดภัย
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ที่ V Square Clinic ดีอย่างไร
- หมอจะเลือกรุ่นฟิลเลอร์ ที่เหมาะกับผิวของแต่ละคน เพื่อให้ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติที่สุด
- ฉีดฟิลเลอร์โดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์สูง
- ปลอดภัย ราคาย่อมเยา คุ้มค่า
- ฉีดด้วยเทคนิคเฉพาะ ช้ำน้อย บวมน้อย ฟิลเลอร์ไม่เป็นก้อน
- ฟิลเลอร์แท้ แกะกล่องใหม่ทุกเคส ให้กล่องและหลอดกลับบ้าน เช็กกับบริษัทนำเข้าได้
- หลังฉีดมีการนัดติดตามผลหลังทำทุกเคส
- ได้รับ “ความไว้วางใจ” จากผู้ใช้จริง (แฟนเพจ) ★ 5 จาก 5 คะแนน จากความคิดเห็นของ 8,485 คน
สรุป ฉีดไขมันใต้ตา กับ ฟิลเลอร์ใต้ตา แบบไหนดีกว่ากัน ?
ทั้งการฉีดไขมันใต้ตาและฟิลเลอร์ใต้ตา มีจุดเด่นและข้อจำกัดที่ต่างกันครับ แต่ถ้าใครที่ต้องการผลลัพธ์เร็ว คุ้มค่ากับการลงทุน และไม่ต้องการเสี่ยงกับกระบวนการที่ซับซ้อน หรือไม่อยากเสียเวลาพักฟื้น การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมมากกว่า ทั้งนี้ควรฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ ผ่านเคสมาหลากหลาย สามารถแนะนำยี่ห้อและรุ่นฟิลเลอร์ได้อย่างเหมาะสม คนไข้ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ดีและดูเป็นธรรมชาติครับ