Oligio
Oligio คือ เครื่องยกกระชับตัวใหม่ล่าสุดที่เพิ่งผ่านอย.ไทยในปี 2024 ครับ จึงเริ่มมีบางคลินิกที่ออกโปรแกรมดูแลผิวด้วยเครื่องนี้ ซึ่งทำ Oligio ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ยกกระชับผิว สลายไขมันเห็นผลแค่ไหน ? เครื่อง Oligio มีเทคโนโลยีที่แตกต่างอย่างไร ? ทำ Oligio มีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง ? Oligio เหมาะกับใคร ? Oligio กับ Thermage และเครื่องยกกระชับอื่น ๆ เลือกแบบไหนดีกว่ากัน ? Oligio ราคาเท่าไหร่ ? Oligio รีวิวผลลัพธ์หลังทำเป็นอย่างไร ? หมอสรุปให้ครับ
สารบัญ Oligio
Oligio นวัตกรรมยกกระชับ สลายไขมัน ใหม่ล่าสุด คืออะไร ?
Oligio (โอลิจิโอ) เป็นนวัตกรรมยกกระชับผิวด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง (Radio-Frequency) มีประสิทธิภาพในการสลายไขมันส่วนเกิน ช่วยยกกระชับและเพิ่มคุณภาพผิว ปรับผิวให้เรียบเนียน ยืดหยุ่น โดยไม่ต้องใช้มีดหรือเข็ม ไม่ก่อให้เกิดบาดแผลภายนอก
เครื่องยกกระชับ Oligio เพิ่งผ่านการรับรองจากอย.ไทยในปี 2024 ผลิตและพัฒนาโดยบริษัท Wontech บริษัทเทคโนโลยีด้านความงามและการแพทย์จากประเทศเกาหลีใต้ จัดจำหน่ายในประเทศไทยโดย WONTECH ASIA (วอนเทค เอเชีย)
เทคโนโลยีที่อยู่ในเครื่อง Oligio ส่งผลต่อการยกกระชับอย่างไร ?
Oligio ใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงแบบขั้วเดียว (Monopolar RF) ความถี่ 6.78MHz ส่งพลังงานลงไปในชั้นผิว ตั้งแต่ผิวชั้นบนจนถึงชั้นไขมัน ทำให้ผิวเกิดการหดตัว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ผิวจึงแน่นกระชับ เรียบเนียนมากขึ้น ริ้วรอยจางลง รวมถึงยังสามารถสลายไขมันส่วนเกินบริเวณเหนียงและกรอบหน้า ช่วยปรับให้ใบหน้าเรียวสวยได้รูปครับ โดยหัวทิปของ Oligio มี 2 ขนาด ได้แก่
- Oligio Face Tip 4 cm2 (2×2 cm) นิยมใช้ยกกระชับผิว ลดไขมันสะสมทั่วใบหน้า และลำคอ
- Oligio Eye Tip 0.25 cm2 (0.5×0.5 cm) นิยมใช้เก็บรายละเอียด ยกกระชับผิวและลดริ้วรอย บริเวณรอบดวงตา
จุดเด่นของเครื่อง Oligio คือ ระบบ Cooling System ครับ ในระหว่างยิงพลังงานเครื่องจะมีระบบสั่น และปล่อยความเย็นออกมาต่อเนื่อง เพื่อปกป้องผิวจากความร้อน และช่วยให้คนไข้รู้สึกสบาย นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชันวัดอุณหภูมิของผิวแบบเรียลไทม์ ลดความเสี่ยงผิวไหม้ ผิวเบิร์น และลดความรู้สึกเจ็บได้
ทำ Oligio ดีกว่า ? อย่างไร ?
โดยทั่วไป Oligio ช่วยเรื่องคุณภาพผิว ปรับผิวให้มีความยืดหยุ่น แน่นกระชับ เรียบเนียน และยังช่วยสลายไขมันส่วนเกินครับ ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัดหรือฉีดสารใด ๆ เข้าร่างกาย
การทำ Oilgio ดีกว่าเครื่องยกกระชับตัวอื่นไหม ? จริง ๆ ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และความคาดหวังของคนไข้ร่วมด้วย ซึ่งจำเป็นต้องให้แพทย์ช่วยประเมิน เพราะเครื่องยกกระชับแต่ละเครื่องก็มีจุดเด่นและเหมาะกับปัญหาผิวที่แตกต่างกันออกไป โดยหมอจะเปรียบเทียบกับ Oligio ให้ทีละเครื่อง
Oligio กับ Thermage
เริ่มที่ Oligio กับ Thermage ก่อนครับ 2 เครื่องนี้นิยมนำมาเปรียบเทียบกันบ่อย ๆ เพราะมีความใกล้เคียงกันในหลายจุด ทั้งพลังงานที่ใช้ หลักการทำงาน และความลึกของชั้นผิว
Thermage
Thermage ถือเป็นนวัตกรรมต้นแบบที่ใช้ Monopolar RF ในการยกกระชับผิว โดยเครื่องส่งพลังงานลงลึกตั้งแต่ผิวชั้นบนจนถึงชั้นไขมัน ความร้อนที่เกิดขึ้นจะแยกโมเลกุลของน้ำออกจากเส้นใยคอลลาเจน ทำให้คอลลาเจนหดตัวทันทีและผิวยกกระชับขึ้น รวมถึงยังกระตุ้นการสร้างและเรียงตัวของคอลลาเจน ช่วยฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียน ละเอียด และรูขุมขนเล็กลง
ในระหว่างการยิงพลังงาน Thermage มีระบบสั่นและปล่อยลมเย็นออกมาเป็นระยะ เพื่อให้รู้สึกสบาย และลดความเจ็บ ลดโอกาสผิวเบิร์นได้
Thermage ผลิตและพัฒนาโดยบริษัท Solta Medical สหรัฐอเมริกา เริ่มผลิตมาตั้งแต่ปี 2003 และอัปเดตเทคโนโลยีให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับเครื่องรุ่นล่าสุด คือ Thermage FLX (2018) ผ่านการรับรองความปลอดภัยจาก U.S. FDA และอย.ไทย สามารถทำได้ทั้งบริเวณใบหน้าและร่างกาย ด้วยหัวทิป 3 ขนาด
- Thermage Face Tip 4 cm2 หัวสีม่วง เหมาะสำหรับทำบริเวณใบหน้า เหนียง และลำคอ
- Thermage Eye Tip 0.25 cm2 หัวสีเขียว เหมาะสำหรับทำบริเวณเปลือกตา และบริเวณรอบดวงตา
- Thermage Body Tip 16 cm2 หัวสีส้ม เหมาะสำหรับทำบริเวณลำตัว แขนขา และหน้าท้อง
หลังทำ Thermage เห็นการเปลี่ยนแปลงทันที 20-30% และชัดเจนใน 2-3 เดือน ทำเพียง 1 ครั้ง ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นาน 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังทำของแต่ละคนร่วมด้วย
Oligio VS Thermage เหมือนหรือต่าง อย่างไรบ้าง ?
Oligio และ Thermage FLX ใช้พลังงาน Monopolar RF และส่งพลังงานถึงผิวชั้นไขมันเหมือนกัน จึงช่วยในเรื่องเพิ่มคุณภาพผิว ยกกระชับ และสลายไขมันส่วนเกินได้ครับ
แตกต่างกันที่ Thermage FLX สามารถส่งพลังงานลงลึกถึง 4.3 mm ในขณะที่ Oligio อยู่ที่ 3 mm ครับ Thermage FLX จึงมีประสิทธิภาพในการยกกระชับผิวมากกว่า และอยู่ได้นานกว่า รวมถึงยังมีหัวทิปสำหรับร่างกายโดยเฉพาะอีกด้วย เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น หมอสรุปเป็นตารางเปรียบเทียบในแต่ละประเด็นให้
Oligio กับ เครื่องยกกระชับอื่น ๆ
นอกจาก Oligio และ Thermage แล้ว ในปัจจุบันยังมีเครื่องยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัดหลายเครื่องครับ ที่นิยมจะมี Ulthera, Hifu และ Morpheus8 ซึ่งใช้เทคโนโลยี และให้ผลลัพธ์แตกต่างกัน
Ulthera
Ulthera หรือ Ultherapy เป็นนวัตกรรมยกกระชับผิวด้วยคลื่นอัลตราซาวนด์พลังงานสูง MFU-V (Microfocus Ultrasound with Visualization) มาพร้อมหน้าจอแสดงผล ช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นชั้นผิวได้แบบเรียลไทม์ ยิงพลังงานได้อย่างแม่นยำ และออกแบบการรักษาแบบ Customized ให้เหมาะสมกับคนไข้แต่ละคน ให้ผลลัพธ์การยกกระชับที่มีประสิทธิภาพ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และลดเลือนริ้วรอยได้
ต่างจาก Oligio ตรงที่ในการยิงพลังงานของ Ulthera จะลงทีละชั้นผิว แต่ก็สามารถลงลึกได้มากกว่า ถึงผิวชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นที่ใช้ผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า และยังสามารถออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคลได้ครับ จึงเหมาะกับผู้ที่ใบหน้ามีไขมันส่วนเกินไม่มาก แต่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย หนังตาตก หางตาตก คิ้วตก และทำ Ulthera เพียง 1 ครั้ง ผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 1-2 ปี
Hifu
Hifu (High Intensity Focused Ultrasound) ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ความถี่สูงในการยกกระชับผิว สามารถส่งพลังงานได้ลึกถึงผิวชั้น SMAS แต่ขนาดจุดโฟกัสเล็กกว่า Ulthera เหมาะกับผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิว เริ่มมีริ้วรอย ต้องการยกกระชับผิว เก็บกรอบหน้าให้ได้รูป V-Shape หรือกระตุ้นคอลลาเจนให้ผิว ชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคต
เครื่อง Hifu มีด้วยกันหลายยี่ห้อและแหล่งที่มา ตัวเครื่องได้มาตรฐานที่นิยมใช้กันจะมี 2 เครื่อง คือ Hifu Ultraformer III และ Hifu Ultraformer MPT ซึ่งมีประสิทธิภาพในการยกกระชับทั้งคู่ แต่รุ่น Hifu Ultraformer MPT มีหัว Ultra Booster สำหรับงานผิวโดยเฉพาะ ช่วยปรับให้ผิวใส ละเอียด และดูสุขภาพดีขึ้นได้ครับ
การทำ Hifu เหมาะกับผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวในระดับต้น และต้องการฟื้นฟูบำรุงผิวให้ดูสุขภาพดีเหมือนกับ Oligio ครับ จุดที่แตกต่างกันอยู่ที่ Hifu เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสมบนใบหน้าไม่มาก และยกกระชับผิวได้ถึงชั้น SMAS ซึ่งลึกกว่าเครื่อง Oligio
Morpheus8
Morpheus8 เป็นนวัตกรรมยกกระชับผิวที่ใช้คลื่นวิทยุควบคู่กับเข็ม เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ปรับผิวให้เต่งตึง เรียบเนียน สิ่งที่แตกต่างจากเครื่องยกกระชับตัวอื่น ๆ อยู่ที่บริเวณหัวยิงมีเข็มขนาดเล็ก เมื่อวางลงบนผิว สามารถส่งพลังงานได้ตั้งแต่ผิวชั้นบนและลึกถึงผิวชั้น SMAS ช่วยยกกระชับ ลดรอยยับ รอยย่นของผิว เน้นการปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน อิ่มฟูขึ้น
Morpheus8 ใช้คลื่นวิทยุเหมือนกับ Oligio แต่ต่างกันที่เครื่อง Morpheus8 เป็น Bipolar RF หรือคลื่นวิทยุแบบสองขั้ว และเป็นการส่งพลังงานผ่านเข็มขนาดเล็ก จึงสามารถลงลึกกว่าถึงผิวชั้น SMAS แต่ก็อาจจะทำให้เกิดแผล และรู้สึกเจ็บกว่าเครื่อง Oligio
ก่อนทำ Oligio ควรรู้อะไรบ้าง ?
Oligio เหมาะกับใครบ้าง ? ทำตำแหน่งไหน ช่วยอะไร ? และมีข้อดี-ข้อเสียอะไร ? สิ่งเหล่านี้เป็นข้อควรรู้ ที่จะช่วยให้คนไข้ได้สำรวจตัวเองเบื้องต้นครับ ว่าหัตถการนี้ตรงกับความต้องการของตัวเองหรือไม่
Oligio เหมาะกับใคร ?
การทำ Oligio เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิว หรือคาดหวังผลลัพธ์ ดังนี้
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ต้องการยกกระชับผิวหน้า ลำคอ และร่างกาย
- ผู้ที่ต้องการกระชับรูขุมขน เพิ่มคุณภาพผิว ให้ผิวยืดหยุ่น เรียบเนียน
- ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยและร่องลึก เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก รอยตีนกา
- ผู้ที่ต้องการเก็บกรอบหน้า ปรับใบหน้าให้ได้รูป V-Shape ลดไขมันส่วนเกินใต้คาง
- ผู้ที่มีปัญหาหนังตาตก เปลือกตาตก คิ้วตก หรือมุมปากตก แต่ไม่อยากผ่าตัด
- ผู้ที่ต้องการกระตุ้นคอลลาเจน ชะลอการเกิดริ้วรอย และผิวหย่อนคล้อยในอนาคต
Oligio ทำตำแหน่งไหนได้บ้าง ?
นิยมทำ Oligio บริเวณใบหน้าและลำคอเป็นหลัก เพื่อยกกระชับผิว สลายไขมันส่วนเกิน และปรับคุณภาพผิวแบบองค์รวมครับ หรือเลือกทำเฉพาะตำแหน่งที่คนไข้กังวลใจ เช่น
- รอบดวงตา ยกกระชับผิวรอบดวงตา ยกคิ้ว ยกหางตา แก้ริ้วรอยหางตา
- หน้าผาก ลดริ้วรอยหน้าผาก ปรับผิวให้เรียบเนียน เปล่งปลั่ง
- แก้ม สลายไขมันส่วนเกิน ยกกระชับผิวหน้าแก้ม และลดริ้วรอยร่องแก้ม
- กรอบหน้า ลดเหนียงใต้คาง เก็บผิวหย่อนคล้อยบริเวณกรอบหน้า
- ลำตัว เช่น หน้าท้อง ท้องแขน หรือต้นขา ลดเลือนริ้วรอย แก้ปัญหาผิวย้วยไม่กระชับ
ข้อดี – ข้อเสีย ของ Oligio
ข้อดี
- ไม่เป็นอันตรายต่อผิว ไม่ก่อให้เกิดบาดแผล ไม่ต้องพักฟื้น
- เครื่องผ่านการรับรองความปลอดภัยจากอย.ไทย และ U.S. FDA
- เจ็บน้อยกว่าเครื่องกระชับตัวอื่น สามารถทำหัตถการโดยไม่ทายาชาได้
- การดูแลตัวเองก่อน-หลังไม่มีอะไรมาก
- ใช้เวลาทำน้อยประมาณ 20-30 นาที สามารถปรับยิงพลังงาน Auto Mode ได้
ข้อเสีย
- ผลลัพธ์ไม่ถาวร
- หากใช้เครื่องไม่ได้มาตรฐานหรือทำกับแพทย์ขาดประสบการณ์ มีความเสี่ยงผิวไหม้ หรือไม่เห็นผลได้
เมื่อตัดสินใจทำ Oligio ควรเตรียมตัวอย่างไร ?
เมื่อตัดสินใจทำ Oligio แล้ว สิ่งที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ คือ การเลือกคลินิกความงามที่เปิดถูกต้องตามกฎหมาย ให้บริการกับแพทย์ที่มีความชำนาญในการใช้งานเครื่องครับ และควรศึกษาวิธีตรวจสอบเครื่อง Oligio ของแท้ร่วมด้วย เพราะเครื่อง Oligio เพิ่งเข้ามาในไทยได้ไม่นาน จำนวนคลินิกที่ให้บริการก็ยังมีน้อย
นอกจากนี้เรื่อง Oligo เจ็บไหม ? และการดูแลตัวเองก่อนทำ Oligio มีอะไรบ้าง ? ก็ไม่ควรละเลยครับ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้คนไข้สามารถเตรียมความพร้อม และลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้
Oligio เจ็บไหม ? อันตรายไหม ?
การทำ Oligio เจ็บเล็กน้อย ในระดับที่ทนได้ มักรู้สึกอุ่น ๆ ถึงร้อน เพราะเครื่องทำให้เกิดความร้อนขึ้นประมาณ 40°C ซึ่งไม่เป็นอันตรายกับผิวครับ รวมถึงยังมีระบบสั่นและระบบเป่าลมเย็น เพื่อปกป้องผิวจากความร้อน ก่อนทำหัตถการ คนไข้สามารถทาหรือไม่ทายาชาก็ได้
ข้อควรทราบ และการปฏิบัติตัวก่อนทำ Oligio
ก่อนทำ Oligio ไม่ได้มีข้อห้ามอะไรเป็นพิเศษครับ สามารถกินอาหารและวิตามินได้ตามปกติ แนะนำให้คนไข้เตรียมข้อมูลการแพทย์ให้พร้อม เช่น ประวัติการทำหัตถการความงามอื่น ๆ โรคและยาประจำตัว โดยก่อนทำโอลิจิโอจำเป็นต้องถอดเครื่องประดับออก และติดแผ่นสื่อที่ด้านหลัง
ข้อห้ามและการดูตัวเองหลังทำ Oligio
เพื่อให้คนไข้สามารถสังเกตอาการ และดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม หมอจะอธิบายถึงข้อห้าม แนวทางการดูแลตัวเอง และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังทำ Oligio ให้ครับ
ข้อห้าม – ข้อควรปฏิบัติ และการดูแลตัวเองหลังทำ Oligio
หลังทำ Oligio ไม่ได้มีข้อห้ามอะไรเป็นพิเศษครับ สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ แต่แนะนำให้ดูแลตัวเองตามแนวทางต่อไปนี้ เพื่อลดโอกาสเกิดการระคายเคือง และให้ผลลัพธ์อยู่ได้นาน เช่น
- ทาครีมบำรุงผิว หรือมอยส์เจอไรเซอร์ ที่ให้ความชุ่มชื้น สามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ
- ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 PA+++ ขึ้นไป
- หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด และความร้อนทุกชนิด ประมาณ 2 สัปดาห์ เช่น ซาวน่า อบไอน้ำ
- งดทำทรีตเมนต์/เลเซอร์ร้อน/RF ลงผิวชั้นลึก ประมาณ 1 เดือน
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่
หลังทำ Oligio หน้าบวมไหม ?
ในรายที่มีผิวบอบบางเป็นทุนเดิม อาจเกิดอาการบวมเล็กน้อย หรือรู้สึกตึง ๆ ผิวได้ครับ ซึ่งสามารถหายได้เองใน 3-7 วัน แนะนำให้หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด และบรรเทาอาการตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น ประคบเย็น กินยาลดบวม
ทำ Oligio มีผลข้างเคียงไหม ? ดูแลและแก้ไขอย่างไร ?
ไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายครับ ส่วนใหญ่หลังทำ Oligio มักมีอาการผิวแดงขึ้นเล็กน้อย หรือดูอมชมพูกว่าเดิมจากความร้อน ซึ่งหายได้เองใน 1 ชั่วโมง แต่หากมีความรู้สึกระบบหรือไม่สบายผิว ก็สามารถประคบเย็นได้
ทำ Oligio กี่วันเห็นผล ? อยู่ได้นานไหม ? ควรทำซ้ำไหม ?
หลังทำ Oligio เห็นผลทันทีประมาณ 20-30% และเต็มที่ใน 2-3 เดือน อยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองร่วมด้วยครับ หากต้องการคงผลลัพธ์ แนะนำให้ทำซ้ำ ปีละ 1-2 ครั้งหรือตามคำแนะนำของแพทย์
หลังทำ Oligio แล้วไม่เห็นผล เกิดจากอะไร ? แก้ไขอย่างไร ?
หลังทำ Oligio แล้วไม่เห็นผล มักเกิดจากการใช้เครื่องปลอม หรือหัวทิปปลอม ทำให้ปล่อยพลังงานไม่เสถียรครับ บางจุดเบาไป หรือแรงไป ซึ่งทำให้เสี่ยงเกิดปัญหาผิวไหม้ รอยแผล หรือใบหน้าผิดรูปได้
ส่วนกรณีที่ใช้เครื่องของแท้ ทำ Oligio แล้วไม่เห็นผล มักเกิดจากแพทย์ขาดความชำนาญ ปรับค่าพลังงาน หรือประเมินจำนวนช็อตไม่เหมาะสมกับปัญหาของคนไข้ครับ โดยทั่วไปหัวทิปของ Oligio ยิงพลังงานได้ 600 ช็อต ซึ่งสามารถครอบคลุมพื้นที่ทั่วใบหน้าและลำคอได้ครับ ในรายที่มีปัญหาผิวน้อยสามารถเริ่มที่ 300-600 ช็อตได้ แต่ถ้าปัญหาผิวมาก ๆ อาจเพิ่มถึง 900-1,200 ช็อต
ทางที่ดีคนไข้ควรเลือกทำ Oligio กับแพทย์ที่ผ่านการอบรมใช้งานเครื่อง หากทางคลินิกความงามมีบริการประเมินใบหน้ากับแพทย์โดยตรงก่อนทำ และมีนัดหมายติดตามผลลัพธ์ ก็จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้บริการได้ครับ
Oligio รีวิว
ผลลัพธ์หลังทำ Oligio แตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคลครับ หากใช้จำนวนช็อตเหมาะสม ก็จะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ทั้งนี้ควรดูแลตัวเองและทำซ้ำตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
รีวิวผลลัพธ์หลังทำ Oligio ครบ 4 สัปดาห์
Before (ซ้าย) – After (ขวา)
Oligio ราคา
Oligio ราคาเริ่มต้นประมาณ 2x,xxx.- / 300 ช็อต ขึ้นอยู่กับจำนวนช็อตและโปรโมชันส่งเสริมการขายของคลินิกความงาม
สรุปเกี่ยวกับเครื่อง Oligio
Oligio เป็นเครื่องยกกระชับผิว สลายไขมันส่วนเกิน จากเกาหลีใต้ เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มคุณภาพผิว ให้ผิวยืดหยุ่น และเรียบเนียน หรือผู้ที่มีปัญหาผิวไม่มากครับ ซึ่งเครื่องนี้เพิ่งผ่านอย.ไทยได้ไม่นาน จึงมีจำนวนคลินิกให้บริการไม่มาก ก่อนจะทำโอลิจิโอที่ไหนกับใคร จึงควรตรวจสอบความน่าเชื่อของคลินิกและแพทย์ รวมถึงเช็กเครื่องให้มั่นใจว่าเป็นของแท้ เพื่อให้ได้บริการที่ปลอดภัย และเห็นผลจริง
อ้างอิง