ข้อห้ามหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
ข้อห้ามหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา มีอะไรบ้าง ? สำหรับใครที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา หรือฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามาแล้ว อยากรู้วิธีดูแลตัวเอง หรืออยากรู้ว่าหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากี่วันเห็นผล ? อยู่ได้นานไหม ? อยู่ได้กี่เดือน ? นานเท่าไรจึงจะกลับมาฉีดซ้ำได้
บทความนี้มีคำตอบให้ทั้งหมดครับ พร้อมข้อควรรู้ทั้งก่อนและหลังทำ ต้องเตรียมตัวอย่างไร ? มีอะไรบ้างที่ต้องระวัง ? ถ้าเผลอทำไปจะส่งผลอะไรไหม ? รวมถึงหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา มีข้อควรปฏิบัติอะไรบ้าง ?
สารบัญ ข้อห้ามหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรรู้อะไรบ้าง ?
ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา สิ่งที่ควรรู้และให้ความสำคัญ คือ ความปลอดภัยครับ การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาไม่ใช่ว่าจะฉีดกับใคร ที่ไหน หรือฟิลเลอร์อะไรก็ได้ ต้องเป็นฟิลเลอร์แท้และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้าเท่านั้น
เพราะปัญหาใต้ตาเกิดได้จากหลายสาเหตุ บางเคสมีปัญหาใต้ตาคล้ำ บางเคสใต้ตาคล้ำและมีร่องน้ำตาร่วมด้วย ซึ่ง 2 ปัญหานี้จะใช้เทคนิคการฉีดที่ต่างกัน รวมถึงเนื้อฟิลเลอร์ที่นำมาใช้ก็ต่างกันด้วย ดังนั้นก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา สิ่งที่ควรรู้เพื่อเตรียมพร้อมก่อนเข้ารับบริการ คือ
- ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากับแพทย์ที่มีประสบการณ์
ก่อนตัดสินใจฉีดควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอย่างละเอียด และเลือกฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์การฉีดฟิลเลอร์ โดยสามารถนำชื่อ-นามสกุล ไปตรวจสอบได้ว่าเป็นแพทย์จริงหรือไม่ ในเว็บไซต์แพทยสภา ( https://tmc.or.th/ ) รวมถึงหาข้อมูลรีวิวจากเคสจริงที่เคยเข้ารับบริการจากหมอท่านนั้น ๆ ว่าเป็นอย่างไร มีปัญหา หรือผลลัพธ์อย่างไรบ้าง เพื่อนำมาใช้ประกอบการตัดสินใจครับ
- ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาในคลินิกที่ได้มาตรฐานและใช้ผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์แท้เท่านั้น
หมออยากให้หาข้อมูลและพิถีพิถันในการเลือกคลินิกฉีดFillerใต้ตา โดยต้องเป็นคลินิกที่ได้มาตรฐาน เพื่อป้องกันความเสี่ยงเจอฟิลเลอร์ปลอมที่อันตรายครับ โดยสังเกตจากเอกสารหลักฐานประจำคลินิก ดังนี้
- ป้ายชื่อคลินิกต้องแสดงเลขที่ใบอนุญาต 11 หลัก
- มีการแสดงใบอนุญาตเปิดกิจการคลินิก
- มีการแสดงหลักฐานการชำระค่าธรรมเนียมคลินิกที่เป็นปีปัจจุบัน
- มีการแสดงหลักฐานของแพทย์ที่ให้บริการในคลินิก
อ่านเพิ่มเติม : ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาหมอไหนดี ก่อนตัดสินใจฉีดต้องพิจารณาอะไรบ้าง ?
ก่อนฉีดควรให้หมอแกะกล่องให้ดู หรือตรวจเช็กฟิลเลอร์ว่าเป็นฟิลเลอร์แท้หรือไม่ ในส่วนของการเตรียมตัวเมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหน คนไข้ควรเตรียมความพร้อมร่างกายดังนี้
- ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด 24 ชั่วโมงก่อนฉีด เนื่องจากหลอดเลือดจะมีการขยายตัว ทำให้บวมช้ำได้ง่าย
- ควรงดยา แอสไพริน, NSAIDs งดวิตามิน และยาทาชนิดผลัดเซลล์ผิว 1 สัปดาห์
- หากมีโรคประจำตัว หรือต้องรับประทานยาบางชนิดเป็นประจำควรปรึกษาแพทย์ก่อน
ข้อห้ามหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา มีอะไรบ้าง ?
เพื่อให้ผลลัพธ์หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การดูแลตัวเองร่วมด้วย ก็จะช่วยให้สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนานขึ้นได้ โดยมีข้อห้ามและข้อควรปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ดังนี้
ข้อห้าม
- หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอาจจะมีอาการบวมแดง เขียวช้ำ หรือคันได้ในจุดที่ทำ ห้ามแตะ แกะ เกา กดหรือนวดในจุดนั้น ๆ เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อ อักเสบ (อาการเหล่านี้จะค่อย ๆ ดีขึ้นเองในช่วง 2-3 วัน)
- หากต้องการแต่งหน้า ล้างหน้า ทาครีม สามารถทำได้ตามปกติ สามารถล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน ๆ โดนน้ำได้ไม่เกิน 15 นาที ขณะล้างห้ามขัดหรือนวดหน้า และงดทาครีมบริเวณรอยเข็ม 1 คืนครับ
- ห้ามทำทรีตเมนต์ ซาวน่า 14 วัน หรือกิจกรรมที่มีความร้อนทุกชนิด
ข้อควรปฏิบัติ
- หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเสร็จทันที หมอจะติดพลาสเตอร์ให้ตามรอยเข็ม เมื่อครบ 1 ชม. จึงสามารถแกะออกได้ ในบางเคสอาจปวดระบมตามรอยเข็มในคืนแรกหลังทำ สามารถกินยาแก้ปวดได้ครับ
- หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 2-3 วันแรก แนะนำให้นอนหัวสูงกว่าระดับหน้าอก ไม่ควรนอนตะแคง เพื่อป้องกันการกดทับบริเวณใบหน้า ควรหาหมอนข้างมากันไว้ทั้งซ้ายและขวาใน 2-3 คืนแรกหลังทำเพื่อป้องกันการกดทับหน้า
- ควรนอนในห้องแอร์ที่อุณหภูมิ 18-23 °C จะช่วยลดอาการบวมลงได้เร็วขึ้น
- หลังฉีดฟิลเลอร์ 3 วันแรก ไม่ควรขยับใบหน้าเยอะ เพื่อป้องกันฟิลเลอร์เคลื่อนที่ไปยังจุดอื่น
แนะนำ: การดื่มน้ำเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ฟิลเลอร์อยู่ได้นานขึ้น ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ 1.5-2 ลิตร ต่อวันครับ
ถ้าเผลอฝ่าฝืนข้อห้ามหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาไปจะส่งผลเสียอะไรไหม ?
จากข้อห้ามและข้อปฏิบัติในหัวข้อข้างต้น หากลืมหรือเผลอทำ แม้สิ่งที่ตามมาจะไม่อันตราย แต่ก็อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามมาที่คาดหวังไว้ครับ เช่น
- การแกะ เกา จับขยี้ตา กดหรือนวดในจุดที่ฉีด อาจทำให้เกิดการติดเชื้อ อักเสบจากมือที่สกปรก รวมถึงมีผลต่อการเคลื่อนที่ของฟิลเลอร์ได้ครับ
- หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้ว ดื่มแอลกอฮอล์ จะทำให้เกิดการบวมช้ำ บริเวณใต้ตา ทำให้อาการบวมเข็มหายช้า เพราะแอลกอฮอล์จะถูกดูดซึมเข้าไปในระบบไหลเวียนโลหิต ส่งผลให้หลอดเลือดและหัวใจทำงานมากขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น ทำให้เลือดไหลเวียนได้มากกว่าปกติ จึงทำให้บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์บวมแดงได้มากกว่าเดิมและยังเป็นการกระตุ้นการอักเสบบริเวณที่ฉีดอีกด้วยครับ
- ความร้อนจากอากาศร้อน การเข้าซาวน่า การทำเลเซอร์หน้าก่อนฟิลเลอร์เข้าที่ หรือก่อน 14 วันหลังทำ อาจจะทำให้ฟิลเลอร์เสียทรง เกิดการสลายตัวเร็ว รวมถึงเสี่ยงอักเสบ ติดเชื้อ
หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา มีข้อควรรู้อะไรอีกบ้าง ?
นอกจากพฤติกรรมที่เป็นข้อห้ามหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้ว ยังมีเรื่องของอาหาร ที่ควรหลีกเลี่ยงด้วยเช่นกันครับ
- ควรเลี่ยงอาหารดิบ อาหารหมักดอง เพราะจะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบได้
- ควรงดอาหารประเภทรสจัด เผ็ดจัด เค็มจัด หวานจัด มักจะดูดน้ำกลับเข้าสู่ร่างกายค่อนข้างมาก ซึ่งส่งผลให้ใบหน้ารวมถึงลำตัวบวม หรือเรียกว่าภาวะบวมน้ำได้
หมอจะแนะนำให้หลีกเลี่ยงในช่วงแรกเท่านั้นครับ ช่วง 3-7 วัน เพื่อให้ฟิลเลอร์เข้าที่ ยุบบวม หลังจากนั้นสามารถกลับมาทานได้ตามปกติ ไม่มีผลข้างเคียงครับ
Filler ใต้ตา อยู่ได้นานไหม อยู่ได้กี่เดือน ?
การฉีด Filler ใต้ตาโดยทั่วไปจะอยู่ได้ 6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้รวมไปถึงการดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ร่วมด้วย
อ่านเพิ่มเติม : ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากี่วันเห็นผล บวมกี่วัน หลังฉีดควรดูแลตัวเองอย่างไร ?
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาไปแล้ว กลับมาฉีดซ้ำได้ไหม กี่เดือนสามารถฉีดซ้ำได้
โดยทั่วไปฟิลเลอร์จะอยู่ได้นานประมาณ 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับรุ่นที่เลือกใช้ หลังจากนั้นจะสลายหมด 100% ไม่มีสารตกค้าง คนไข้สามารถกลับมาฉีดใหม่ได้เรื่อย ๆ โดยไม่มีผลข้างเคียง
ข้อดีของการกลับมาฉีดซ้ำคือช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้น มีน้ำหล่อเลี้ยงมากขึ้น คอลลาเจนและอิลาสตินบริเวณนั้นก็จะถูกสร้างขึ้นด้วย หลังฟิลเลอร์สลายหมดคอลลาเจนและอิลาสตินของร่างกายจะยังคงอยู่ สภาพผิวก็จะดีกว่าตอนที่ยังไม่ได้ฉีดฟิลเลอร์ครับ เมื่อหยุดฉีดจะไม่ทำให้หน้าแก่ขึ้น แต่จะช่วยชะลออายุผิวให้แก่ช้าลงครับ
สรุป
ข้อห้ามหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาและข้อควรปฏิบัติหลังฉีดที่หมอแนะนำไป ล้วนส่งผลดีต่อผลลัพธ์หลังการฉีด สำหรับใครที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา หรือมีปัญหาความหย่อนคล้อย ถุงใต้ตา ลดริ้วรอยใต้ตา ตาคล้ำ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์โดยตรงครับ เพื่อประเมิน วิเคราะห์ปัญหา และแนะนำแนวทางการแก้ไขที่เหมาะสมให้ได้
