ฉีดฟิลเลอร์ปาก บวมกี่วัน
ฉีดฟิลเลอร์ปาก บวมกี่วัน ? อาการบวมหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก เกิดขึ้นเป็นปกติไหม ? อาการบวมแบบไหนไม่ปกติ สาเหตุของอาการบวม เกิดจากอะไร ? หมอจะมาไขข้อสงสัยให้ในบทความนี้ พร้อมแนะนำวิธีป้องกันและดูแลตัวเองอย่างไร เลือกฉีดฟิลเลอร์ปากที่ไหนดี ไม่ให้เกิดอาการบวมและอันตรายครับ
สารบัญ ฉีดฟิลเลอร์ปาก บวมกี่วัน
ฉีดฟิลเลอร์ปาก อันตรายไหม ?
การฉีดฟิลเลอร์ปาก ไม่อันตราย หากฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และใช้ฟิลเลอร์แท้ ผ่านการรับรองจาก อย.
เนื่องจากฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิก Hyaluronic Acid (HA) มีความใกล้เคียงกับสารธรรมชาติในร่างกายของมนุษย์ สามารถสลายไปได้เองตามธรรมชาติ 100% แพทย์ที่มีความชำนาญด้านการฉีดฟิลเลอร์จะรู้ตำแหน่งและใช้เทคนิคที่ทำให้ได้ผลลัพธ์หลังฉีดฟิลเลอร์ปากออกมาสวยงามและปลอดภัยครับ
หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก พบอาการบวม ถือเป็นเรื่องปกติไหม ?
หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก สามารถพบอาการบวมได้เป็นเรื่องปกติครับ เนื่องจากเนื้อเยื่อบริเวณปากค่อนข้างบาง ทำให้เมื่อฉีดฟิลเลอร์เข้าไปแล้วจะเห็นเป็นรอยบวมเข็มได้ชัดกว่าส่วนอื่น ๆ ซึ่งอาการบวมจะมากหรือน้อย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเทคนิคการฉีดของแพทย์ด้วยครับ หากฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ฉีดด้วยเทคนิคที่เหมาะสมก็จะช่วยลดโอกาสการบวมช้ำให้น้อยลงได้
ฉีดฟิลเลอร์ปาก บวมกี่วัน ? อาการบวมแบบไหน ถือว่า ปกติ หรือ อันตราย ?
ฉีดฟิลเลอร์ปาก กี่วันหายบวม ขึ้นอยู่กับอาการบวมของแต่ละคน หากเป็นอาการบวมเข็มทั่วไป จะบวม 2-3 วันแรก และค่อย ๆ ยุบลงใน 4-5 วัน แต่ในกรณีที่มีอาการบวมแดง แสบร้อน หรือฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อนนูนขึ้นมาจากผิว ถือเป็นอาการบวมที่เป็นอันตราย อาจเกิดจากการอักเสบ ติดเชื้อ หรือแพ้ฟิลเลอร์ ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีครับ
ทรงฉีดฟิลเลอร์ปาก มีผลต่อจำนวนวันที่พบอาการบวมหลังฉีดไหม ?
การฉีดฟิลเลอร์เพื่อปั้นทรงปาก ทั้งการฉีดฟิลเลอร์ปากกระจับ ทรงปากเกาหลี หรือทรงปากสายฝอ ไม่ว่าจะฉีดฟิลเลอร์ปากทรงไหนก็ไม่มีผลต่อจำนวนวันที่พบอาการบวมหลังฉีดครับ เพราะ Filler ปาก บวมกี่วัน ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล โดยทั่วไปประมาณ 1-2 สัปดาห์ ริมฝีปากจะเริ่มเข้าที่ อวบอิ่ม เป็นทรงสวย ดูเป็นธรรมชาติ
หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก บวมกี่วัน ขึ้นไปถือว่าไม่ปกติ ต้องรีบกลับมาพบแพทย์
โดยทั่วไป อาการบวมหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก มักบวมมากที่สุดเพียงช่วง 2-3 วันแรก เนื่องจากเนื้อฟิลเลอร์ปากยังไม่เข้าที่ โดยจะเห็นว่าอาการบวมจะค่อย ๆ ลดลงในระยะเวลา 4-5 วัน และผลลัพธ์จะเข้าที่ใน 1-2 สัปดาห์ แต่หากผ่านไป 2 สัปดาห์แล้ว คนไข้ยังมีอาการบวมจากการฉีดฟิลเลอร์ปากอยู่ ถือว่าไม่ปกติ อาจเกิดจากการอักเสบ แพ้ หรือติดเชื้อ ต้องรีบกลับมาพบแพทย์ครับ
สาเหตุของอาการบวมหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก เกิดจากอะไร ?
อาการบวมหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก อาจเกิดได้จากหลายปัจจัยครับ ได้แก่
- แพทย์ผู้ฉีดขาดประสบการณ์ ฉีดในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้อง หรือเลือกใช้เนื้อฟิลเลอร์ไม่เหมาะสม ทำให้ฉีดแล้วปากบวม ดูไม่เป็นธรรมชาติ
- ใช้ฟิลเลอร์ปลอม ฟิลเลอร์หิ้ว การเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ผ่าน อย. หรือไม่ใช่สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid เมื่อฉีดแล้วอาจส่งผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้
- ไม่ดูแลตัวเองหลังฉีด หากหลังฉีดไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด จะส่งผลต่อการเข้าที่ของฟิลเลอร์ ทำให้ปากยุบบวมช้า
การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก เพื่อให้อาการบวมลดหรือหายเป็นปกติ
เพื่อให้หลังฉีดฟิลเลอร์ปากยุบบวมเร็ว และคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน หมอแนะนำให้คนไข้ดูแลตัวเองตามข้อปฏิบัติดังนี้ครับ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ปาก ไม่ควรจับ บีบ นวด หรือพยายามปั้นทรงปากด้วยตัวเอง
- ห้ามควรดึงหรือลอกหนังริมฝีปาก เพราะเป็นการทำลายผิวริมฝีปาก ทำให้ผิวเก็บกักน้ำและความชุ่มชื้นไว้ได้น้อยลง
- งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด รวมไปถึงเครื่องดื่มร้อน ๆ เพราะอาจทำให้ปากเกิดอาการบวม หรืออักเสบได้ง่าย
- งดการทำกิจกรรม หรือการออกกำลังหนัก ๆ ที่จะทำให้ปากเสียรูปทรง เช่น การจูบ
- ภายใน 12 ชั่วโมงแรกหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ควรงดใช้หลอดดูดน้ำ งดทาลิปสติกและงดสูบบุหรี่
- ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อเพิ่มการอุ้มน้ำของฟิลเลอร์ และช่วยให้ฟิลเลอร์ฟูสวย และอยู่ได้นานขึ้น
อ่านเพิ่มเติม : หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ควรดูแลตัวเองอย่างไร ? เพื่อผลลัพธ์ที่สวยและอยู่ได้นาน
มีวิธีป้องกันอาการบวมหลังฉีด Filler ปาก อย่างไรบ้าง ?
วิธีป้องกันอาการบวมหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ควรเริ่มตั้งแต่กระบวนการก่อนตัดสินใจฉีดเลยครับ ให้ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เลือกฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่มีประสบการณ์ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพ และต้องผ่าน อย.ไทยเท่านั้น รวมทั้งหลังฉีดก็ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ฟิลเลอร์เข้าที่ไว ได้ผลลัพธ์สวยงามตามต้องการ
นอกจากอาการบวมแล้ว ผลข้างเคียงหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก มีอะไรอีกบ้าง ?
หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก นอกจากอาการบวมแล้ว อาจมีผลข้างเคียงที่เกิดจากการฉีดได้ เช่น ผื่นหรือจุดแดงบริเวณรอยเข็ม ซึ่งสามารถหายไปเอง ในกรณีที่มีอาการปวด คนไข้สามารถทานยาแก้ปวดได้ตามอาการ ไม่ต้องเป็นกังวลครับ
อาการบวม อาจเกิดจากฟิลเลอร์ปลอม แพทย์ไม่มีประสบการณ์ อันตรายแค่ไหน ?
การฉีดฟิลเลอร์ปลอมมีอันตรายมากครับ หลังฉีดไปแล้วจะย้อยเป็นก้อนแข็ง หน้าผิดรูป อาจมีอาการแพ้ฟิลเลอร์ เป็นผื่นคัน อักเสบ ติดเชื้อ บวมแดง และอาจรุนแรงถึงขั้นเนื้อตาย หรืออุดตันในเส้นเลือด ซึ่งฟิลเลอร์ปลอมจะไม่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติเหมือนฟิลเลอร์แท้ ต้องผ่าตัดหรือขูดออกเท่านั้น
ทั้งนี้ การเลือกแพทย์ก็สำคัญครับ ไม่ใช่จะฉีดฟิลเลอร์ปากกับใครที่ไหนก็ได้ เพราะริมฝีปากประกอบด้วยเส้นเลือดฝอยขนาดเล็กจำนวนมาก ต้องใช้ความระมัดระวังในการฉีด เพื่อไม่ให้เกิดฟิลเลอร์อุดตันเส้นเลือดหรือฉีดโดนเส้นเลือดหลักที่อยู่ลึกลงไป ซึ่งหากพลาดไปฉีดกับหมอที่ไม่มีประสบการณ์ หรือคนฉีดไม่ใช่แพทย์ ฉีดกับหมอกระเป๋าในคลินิกเถื่อน ก็อาจส่งผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย หมอไม่แนะนำให้ฉีดเด็ดขาด
เลือกฉีดฟิลเลอร์ปากที่ไหนดี ? พิจารณาอะไรบ้าง ไม่ให้เกิดอาการบวมและอันตราย
ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ปากที่ไหนดี ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี คุ้มค่า และปลอดภัย สามารถพิจารณาได้จากปัจจัยต่อไปนี้
- คลินิกได้มาตรฐาน เปิดให้บริการอย่างถูกต้อง มีเลขที่ใบอนุญาต 11 หลัก แสดงให้เห็นชัดเจน
- แพทย์มีประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์ รู้ตำแหน่งกายวิภาคบนใบหน้าและเทคนิคการฉีด
- บรรยากาศภายในคลินิกสะอาด สว่าง โปร่ง ห้องทำหัตถการพื้นที่กว้างขวาง และปลอดเชื้อ
- มีรีวิวจากผู้ใช้บริการในแหล่งที่น่าเชื่อถือ แสดงให้เห็นผลลัพธ์ก่อน-หลังทำของแต่ละเคส
- มีการนัดติดตามผลและมีช่องทางติดต่อสะดวก สามารถปรึกษาแพทย์เจ้าของเคสได้โดยตรง
โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ปาก ที่ V Square Clinic ใช้ฟิลเลอร์แท้คุณภาพดี การันดีด้วยมาตรฐานสากล ดูแลและทำหัตถการโดยทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์และชำนาญด้านศิลปะการฉีดฟิลเลอร์ (Fine Art of Filler) ตรวจประเมินใบหน้าอย่างละเอียดทุกเคส ฉีดด้วยเทคนิคพิเศษ บวมช้ำน้อย ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติครับ
สรุป
ฉีดฟิลเลอร์ปาก บวมกี่วัน โดยทั่วไปอาการบวมเข็มหลังฉีดฟิลเลอร์ปากจะค่อย ๆ ดีขึ้น ยุบบวมใน 4-5 วัน และจะเห็นผลลัพธ์เข้าที่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ครับ หากมีอาการบวมนานเกิน 2 สัปดาห์ถือว่าผิดปกติ อาจเกิดจากการแพ้ฟิลเลอร์ อักเสบ ติดเชื้อ เป็นผื่น ให้คนไข้หมั่นสังเกตอาการและรีบไปพบแพทย์ทันทีครับ