Juvelook ตัวช่วยกระตุ้นคอลลาเจน มีข้อดีอย่างไร รีวิวแบบละเอียดทุกแง่มุม

Categories
Skin Booster
Juvelook

Juvelook

Juvelook คืออะไร ? ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ? ทำไมถึงพูดถึงมากขึ้นในปัจจุบัน เราจะมาเจาะลึกกันอย่างละเอียดครับ ว่านอกจาก Juvelook จะช่วยกระตุ้นคอลลาเจนแล้ว ยังช่วยเรื่องอะไรอีกบ้าง หรือ Juvelook จัดเป็นหัตถการประเภทไหน ? เป็นฟิลเลอร์ หรือ Skin Booster หรือ Collagen Biostimulator

รวมไปถึง Juvelook เหมาะกับใคร ? มีข้อดี – ข้อเสียอะไรบ้าง ? พร้อมเปรียบเทียบ Juvelook กับการฉีดฟิลเลอร์, Sculptra, Skinbooster ตัวอื่น ๆ เหมือนหรือต่างกันอย่างไรบ้าง ? ฉีดแล้วคุ้มค่าไหม ? ดีไหม ?อันตรายไหม ? มีข้อควรทราบก่อน – หลังฉีด อย่างไรบ้าง ? หมอรวมคำตอบทั้งหมดไว้ในบทความนี้ครับ

สารบัญ Juvelook


Juvelook (จูวีลุค) ดีจริงหรือแค่กระแส ?

Juvelook -PDLLA

Juvelook คือ ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ในกลุ่ม Collagen Biostimulator ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังโดยธรรมชาติ ที่มีส่วนผสมของ 2 สารสำคัญ คือ

  1. Poly-D,L-lactic acid (PDLLA) 42.5 g : สารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่สำคัญต่อความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของผิว เป็นสารที่ปลอดภัยและย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ
  2. Hyaluronic Acid (HA) : ชนิด Non-Crosslinked 7.5 g ไม่คงรูป เป็นสารเติมเต็มผิวที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและอิ่มน้ำที่เหมาะกับการฉีดเพื่องานผิว

โดยรวม Juvelook จึงมีคุณสมบัติพิเศษที่ไม่เพียงแต่ทำให้ดูอิ่มฟูในทันที แต่ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ผิวหนังเมื่อเวลาผ่านไป ทำให้ผลลัพธ์ของการรักษาดูเป็นธรรมชาติและยาวนาน

คุณสมบัติ Juvelook
(Juvelook ช่วยเติมเต็มผิวให้อิ่มฟู และกระตุ้นคอลลาเจนในขณะเดียวกัน)

ส่วนข้อสงสัยที่ว่าJuvelook ดีจริงหรือแค่กระแส ? ต้องบอกว่าขึ้นอยู่กับปัญหาผิว แล้วนำ Juvelook มาใช้ตรงกับปัญหาผิวหรือไม่ครับ ส่วนเรื่องของกระแส ที่มาเกิดจาก

  • Juvelookได้รับความนิยมอย่างมากในเกาหลีและญี่ปุ่น
  • Juvelook มีการรีวิวจากอินฟลูเอนเซอร์และเซเลบมากมาย
  • ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดและความปลอดภัยในการใช้งาน

จุดเด่นที่ทำให้ Juvelook ถูกพูดถึงอย่างมากในปัจจุบัน

Juvelook มีความโดดเด่น ใน 3 ด้านหลัก ๆ คือ

  1. เป็น Hybrid Technology ผลลัพธ์จึงเป็นธรรมชาติ : Juvelook สามารถเติมเต็มผิวและช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของผิวเอง จึงไม่ทำให้หน้าดูผิดธรรมชาติ และผลลัพธ์จะค่อย ๆ ปรากฏดีขึ้นทีละน้อย
  2. ความปลอดภัยสูง : Juvelook ผ่านการรับรองจากอย.ไทย และได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) รวมถึง CE Mark

นอกจากนี้ยังได้รับรางวัล Korea Consumer Award (2 ปีซ้อน) แสดงถึงความเป็นที่นิยมอย่างมาก และสาร PDLLA ยังเป็นสารที่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ จึงมีความปลอดภัยสูง

  1. ความคงทน : Juvelook สามารถผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1 – 2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลและบริเวณที่ฉีด

Juvelook ดีจริงไหม ?

Juvelook ได้รับการพิสูจน์ทางคลินิกว่ามีประสิทธิภาพในการใช้งาน สามารถช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว ลดขนาดรูขุมขน ลดริ้วรอย และเพิ่มความชุ่มชื้น และทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ เปล่งปลั่งได้

Juvelook ผลลัพธ์

จากตัวอย่างภาพด้านบนจะเห็นว่า หลังฉีด Juvelook 1 สัปดาห์ ชั้นผิวจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย โดยมีปริมาณคอลลาเจนในชั้นผิวน้อยอยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป 6 เดือน ปริมาณคอลลาเจนในชั้นผิวจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยสีม่วงที่ปรากฏในภาพบ่งบอกถึงการสร้างคอลลาเจนใหม่ครับ

ตัวอย่าง รีวิวผลลัพธ์หลังฉีด Juvelook

รีวิวฉีด Juvelook
รีวิวฉีด Juvelook คอ
รีวิวฉีด Juvelook รอยแผลเป็น

Juvelook ช่วยแก้ปัญหาเรื่องอะไรได้บ้าง ?

การฉีด Juvelook ช่วยการกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิว จึงสามารถแก้ไขปัญหาผิวได้หลายรูปแบบ ดังนี้

  • ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว : สามารถลดริ้วรอย รูขุมขนดูเล็กลงและกระชับมากขึ้น และยังช่วยป้องกันริ้วรอยใหม่ ๆ ได้
  • ช่วยลดริ้วรอยและร่องลึก : เนื่องจากสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ริ้วรอยและร่องลึกดูจางลง
  • ช่วยทำให้ผิวดูกระจ่างใส : ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ลดรอยดำให้จางลง ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น
  • ช่วยทำให้ผิวดูอิ่มน้ำและเรียบเนียนขึ้น : แก้ปัญหาหลุมสิวลดรอยแผลเป็น รอยหลุมสิวและลดรอยแตกบนผิวหนังได้

Juvelook สามารถช่วยแก้ปัญหาได้หลากหลาย ทำให้สามารถนำมาฉีดได้หลายบริเวณทั้งใบหน้า และร่างกาย เช่น ฉีด Juvelook ใต้ตา รอบดวงตาเพื่อแก้ไขริ้วรอยเล็ก ๆ ร่องแก้ม หน้าผาก คอ หรือแม้แต่บริเวณท้อง ก้น แขน ขา ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์


Juvelook เป็นฟิลเลอร์ หรือ Skin Booster หรือ Collagen Biostimulator ?

Juvelook จัดอยู่ในกลุ่ม Collagen Biostimulator ครับ โดยมีคุณสมบัติพิเศษคือ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนธรรมชาติ ไม่ใช่การหวังผลเพื่อให้เติมเต็ม เพิ่มวอลลุ่ม หรือปรับรูปหน้าได้เหมือนฟิลเลอร์ แต่ก็ให้ผลลัพธ์ที่คงทนกว่า Skin Booster ทั่วไป

Juvelook แตกต่างจากฟิลเลอร์อย่างไร ?

Juvelook กับ Filler แตกต่างกันครับ ทั้งในเรื่องของกลไกการทำงาน และเป้าหมายการหวังผลลัพธ์ในการนำมาใช้ที่แตกต่างกัน

Juvelook มีกลไกการทำงานหลักคือ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ฟื้นฟูสภาพผิวให้ดูอ่อนเยาว์ ผลลัพธ์จะค่อยเป็นค่อยไป

ส่วน Filler จะเป็นการฉีดสารเติมเต็มประเภท HA ที่ฉีดเข้าไปเพื่อทำให้ผิวเต็ม เป็นการเติมเต็มผิวโดยตรง ช่วยให้ผิวเรียบเนียน เต่งตึง ใบหน้าอ่อนเยาว์ อิ่มน้ำ โดยสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงของผลลัพธ์ได้ทันที

Juvelook แตกต่างจากฟิลเลอร์

แล้ว Juvelook เป็นเมโสหน้าใส หรือ Skin Booster ไหม ?

Juvelook ไม่ได้เป็นเมโสหน้าใสครับ แต่จัดเป็น Skin Booster ได้เช่นกัน เพราะจุดเด่นของ Juvelook คืองานผิว ที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนจากภายใน ช่วยให้ผิวเด้ง ดูอิ่มฟู ชุ่มชื้นขึ้น

เมโสหน้าใส คืออะไร ?

เมโสหน้าใส (Mesotherapy) เป็นหัตถการที่ช่วยบำรุงผิวครับ ตัวยาจะเป็นวิตามิน และสารสกัดที่มีประโยชน์เข้าสู่ผิวโดยตรง เด่นในเรื่องช่วยควบคุมให้เม็ดสีทำงานลดลง จึงช่วยลดจุดด่างดำให้จางลง ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ผิวเต่งตึง เรียบเนียน แต่ไม่ได้กระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ เหมือนกับ Juvelook หรือผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Collagen Biostimulator อื่น ๆ

ปัจจุบันเมโสหน้าใส มีหลายยี่ห้อครับ เช่น

  • Made Collagen ช่วยเรื่อง ลดสิว ลดผื่น
  • Tensonez ช่วยปรับสภาพผิวขาว ใส ลดฝ้า
  • Neo-Glutanex Glow ช่วยลดกระ รอยสิว ลดริ้วรอย ผิวแห้งกร้าน
  • Filorga ช่วยผิวขาวใส ลดฝ้า และบำรุงผิวล้ำลึก
  • Alpha arbutin เน้นลดฝ้าโดยตรง

รู้จัก Skin Booster ให้มากขึ้น

Skin Booster คือ การเรียกภาพรวมของหัตถการที่ทำแล้วช่วยฟื้นฟูผิว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว เพื่อช่วยแก้ปัญหาผิวแบบต่าง ๆ ทำให้คุณภาพผิวดีขึ้น แข็งแรงพอที่จะป้องกันตัวเองจากมลภาวะ ทำให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย และช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคตได้ ซึ่ง JUVELOOK ก็เป็นหนึ่งใน Skin Booster ครับ

Skin Booster

Juvelook VS Sculptra และ สารกระตุ้นคอลลาเจนตัวอื่น ๆ

รวมงานผิว 2025 Biostimulator ตัวช่วยผิวสวย Sculptra Gouri Radiesse

รวมงานผิว 2025 Biostimulator ตัวช่วยผิวสวย Sculptra Gouri Radiesse

ในกลุ่มหัตถการความงามที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวที่ได้รับความนิยม นอกจาก Juvelook, Sculptra ยังมีสารกระตุ้นคอลลาเจนอื่น ๆ ที่ผ่านอย.ไทยครับ หมอจะอธิบายคุณสมบัติจุดเด่นของแต่ละตัวตามลำดับดังนี้

Collagen Biostimulator

Sculptra ตัวช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ผิวกระชับ

Sculptra เป็นสาร collagen biostimulator ตัวแรกและเป็นตัว original ที่ถูกนำมาเป็นตัวยาช่วยกระตุ้นการเสริมสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่จากภายใน ที่ออกฤทธิ์ในการกระตุ้นเนื้อเยื่อ Collagen, Elastin และ Hyaluronic acid ใต้ผิวหนัง

Sculptra คืออะไร ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง เหมาะกับใครฉีดตำแหน่งไหนใช้กี่ CC

Sculptra มีส่วนประกอบหลัก คือ Poly-L-lactic acid (PLLA) โดยสามารถกระตุ้นคอลลาเจน type I ได้ถึง 66.5% หลังการฉีดเพียง 1 ครั้ง สามารถฟื้นฟูสภาพผิวที่หย่อนคล้อย ให้เต่งตึง มีความยืดหยุ่น อิ่มฟู ดูอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 2 ปี เมื่อทำการฉีดอย่างต่อเนื่อง 2-3 ครั้ง

Radiesse สร้างผิวให้เปล่งปลั่งจากภายในสู่ภายนอก

Radiesse เป็นนวัตกรรมเพื่อการฟื้นฟูบำรุงผิว มีส่วนประกอบหลักเป็น CaHA (Calcium Hydroxylapatite microsphere) ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเส้นใยตาข่ายผิวใหม่ ทำให้ผิวเฟิร์ม แน่นกระชับ เปล่งปลั่งจากภายใน และช่วยเพิ่มวอลลุ่มผิว สามารถเติมเต็มร่องลึกให้ดูตื้นขึ้น ช่วยให้ริ้วรอยลดลง และช่วยยืดอายุผิวคุณภาพดีได้ยาวนานขึ้น ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 2 ปี เมื่อทำการฉีดอย่างต่อเนื่อง 1-3 ครั้ง

เจาะลึก Radiesse คืออะไร ช่วยอะไรบ้าง เหมาะกับปัญหาแบบไหน ?

Gouri ตัวช่วยผิวฟู ย้อนวัยให้ผิว

Gouri เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่สามารถกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิว มีส่วนประกอบหลักคือสาร PCL (Polycaprolactone) ที่มาในรูปแบบของเหลว (Fully Liquid) เป็นสารละลาย 100% มีคุณสมบัติเด่นในการช่วยฟื้นฟู และแก้ไขผิวที่เสื่อมสภาพตามวัยให้มีคุณภาพดีขึ้นอย่างยั่งยืน ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้นอีกครั้ง ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1 ปี เมื่อทำการฉีดอย่างต่อเนื่อง 1-3 ครั้ง

Gouri คืออะไร? แก้ปัญหาอะไรบ้าง ใช้กี่ CC? กี่วันเห็นผล? วิธีดูของแท้

Ultracol 200 นวัตกรรมฟื้นผิวให้ดูเด็กลง

Ultracol 200 หรือหลาย ๆ คุ้นชินกับการเรียกไหมน้ำคอลลาเจน biostimulator มีส่วนประกอบสำคัญคือ สาร PDO ที่สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ช่วยฟื้นฟูผิวจากภายใน

Ultracol 200 เน้นในเรื่องของการเพิ่มวอลลุ่มให้ผิว ผิวจึงดูยกกระชับขึ้น ริ้วรอยร่องลึกดูตื้นขึ้น ผิวดูเรียบเนียนมากขึ้น และยังช่วยแก้ไขปัญหาผิวที่มีความหมองคล้ำให้ดูกระจ่างใสขึ้นได้ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-8 เดือน

Neauvia ยกกระชับ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว

Neauvia จัดเป็นฟิลเลอร์งานผิวครับ โดยมีส่วนผสมของ CaHa คล้ายกับ Radiesse โดย CaHa เป็นสารที่กระตุ้นการทำงานของ Fibroblast ให้เพิ่มการสร้างคอลลาเจน ลดการอักเสบของผิว ช่วยทำให้ผิวบริเวณที่ฉีดมีคุณภาพที่ดีขึ้น ผิวมีความยืดหยุ่นดีขึ้น ผิวชุ่มชื้น เรียบเนียน กระชับรูขุมขน และสามารถแก้ปัญหาริ้วรอยตื้น ๆ ได้ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-9 เดือน


Juvelook VS Rejuran, Exosome, Skinvive, Belotero Revive

Juvelook นอกจากจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวแข็งแรง และยืดหยุ่นได้มากขึ้นแล้ว ยังช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น อิ่มฟู เนียนใส ดูฉ่ำวาวได้ด้วย จึงมีการนำมาเปรียบเทียบกับ หัตถการงานผิวหลาย ๆ ตัว เช่น Rejuran, Exosome รวมไปถึงฟิลเลอร์งานผิว ว่าควรเลือกทำตัวไหนดี ถึงจะคุ้มค่า

ฉีด Rejuran VS Belotero Revive VS Exosome ช่วยในเรื่องเดียวกันไหม ?

จริง ๆ แล้ว ทั้ง Rejuran, Exosome และฟิลเลอร์งานผิวอย่าง Skinvive และ Belotero Revive ล้วนมีข้อดี และความเหมาะสมในการใช้งานแตกต่างกันครับ

ejuran - Exosome

Rejuran

Rejuran หรือ รีจูรัน เป็นหนึ่งเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วย ฟื้นฟูผิวหน้าให้อ่อนเยาว์ครับ สามารถช่วยปรับสภาพผิวให้สดใส พร้อมทั้งกระชับรูขุมขน

รีจูรัน มีส่วนประกอบหลักคือ Polynucleotide หรือ PN บริสุทธิ์ เข้มข้น 2% สกัดจากชิ้นส่วน DNA Salmon ที่อยู่ในทะเลธรรมชาติ ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับ DNA มนุษย์ 98 % มีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูผิว รีจูรัน ผ่านการรับรองจากอย.ไทย และมีงานวิจัยรับรองเรื่องสกินบูสเตอร์ เมื่อนำมาฉีดในชั้นหนังแท้โดยตรง จะช่วยให้ผิวแข็งแรง สามารถลดเลือนริ้วรอย ปรับสภาพสีผิวให้ฉ่ำวาวแบบเร่งด่วนได้ครับ

Exosome

Exosome สามารถช่วยฟื้นฟูและปรับปรุงคุณภาพผิว ทำให้หน้าใส ผิวชุ่มชื้น อิ่มฟู ฉ่ำเด้ง ดูสุขภาพดีได้ ส่วนส่วนประกอบของ exosome ประกอบไปด้วยสารชีวโมเลกุล 1,000 ชนิด สารสำคัญ เช่น โกรทแฟคเตอร์ (growth factor),Peptides, Amino Acids, Coenzymes, Hyaluronic Acids และโปรตีนต่าง ๆ จึงช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูผิว ได้เป็นอย่างดี

Exosome งานผิวล่าสุดจากเกาหลี ช่วยเรื่องอะไรบ้าง

Exosome เหมาะกับคนที่มีฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยดำ รอยแดงจากสิว มีรูขุมขนกว้าง ผิวไม่เรียบเนียน ผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น

ในส่วนของงานผิว ยังมีตัวช่วยในกลุ่มฟิลเลอร์ ที่สามารถบูสต์ผิว เติมความชุ่มชื้น ฟื้นฟูผิวขาดน้ำ แก้ปัญหาผิวแห้ง บำรุงผิวแข็งแรง เพิ่มความยืดหยุ่น ที่สามารถเห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว เช่นฟิลเลอร์ Restylane Vital light, Belotero Revive และ Juvederm Volite

ฟิลเลอร์งานผิว

Belotero Revive

Belotero Revive เป็นฟิลเลอร์ตัวแรกที่เพิ่มส่วนผสมของ Hyaluronic Acid และ Glycerol เข้าด้วยกัน

  • Glycerol มีคุณสมบัติเรื่องการอุ้มน้ำ ยิ่งเราเติมน้ำเข้าไปในร่างกาย ผิวก็จะอุ้มน้ำได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ผิวดูฉ่ำน้ำ อิ่มวาวครับ
  • Hyaluronic Acid มีคุณสมบัติคล้ายการเติมน้ำให้กับผิว เมื่อฉีดเข้าไปจึงทำให้ผิวดูโกลว์ ใสเนียนเด้ง ไม่ก่อให้เกิดการต่อต้านของร่างกาย มีผลทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

Belotero Revive จึงที่ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวที่มีปัญหาในระยะเริ่มแรกจากการถูกทำลายจากแสงแดดและมลภาวะต่าง ๆ เพิ่มความแข็งแรงให้กับผิวได้ทั้งภายนอกและภายใน และยังช่วยให้ผิวเรียบเนียน ความอิ่มฟู ความเด้งกระชับ และความชุ่มชื้นฉ่ำวาว ไปพร้อม ๆ กัน สามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 6-9 เดือนครับ

Restylane Vital light

Restylane Vital light เป็น ฟิลเลอร์ Skin booster ตัวแรก ๆ ที่ถูกนำมาใช้ฟื้นฟูผิว และได้รับความนิยมมากครับ มีส่วนประกอบหลักคือ Hyaluronic acid ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยฟื้นฟู ปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนขึ้น โดยเฉพาะผิวที่มีลักษณะบอบบาง หรือผิวที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ โดยวิธีการฉีดหมอจะฉีดในผิวหนังชั้น superficial layer เพื่อช่วยให้ผิวเรียบเนียน ลดเลือนริ้วรอยเป็นหลัก

หลังฉีดผิวจะชุ่มชื้น อิ่มฟูมีความยืดหยุ่น เต่งตึง ริ้วรอยเล็ก ๆ ตื้นขึ้น หน้าดูสดใส มีชีวิตชีวาขึ้นทันที ฉีด 1 ครั้ง ผิวจะกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้ยาวนาน 6-12 เดือน

Skinvive หรือ Juvederm Volite

Skinvive (สกินวิฟฟ์) เป็นฟิลเลอร์ Skin Booster ที่ได้พัฒนาต่อยอดมาจากฟิลเลอร์ Juvederm รุ่น Volite ครับ สามารถเติมความชุ่มชื้นในชั้นผิวได้ เนื่องจากเป็น Hyaluronic Acid (HA) หรือกรดไฮยาลูรอนในรูปแบบไมโครดรอปเล็ต (Microdroplets of Hyaluronic Acid) ที่พิเศษกว่า HA ทั่วไป ที่มีความเข้มข้นสูง จึงกระจายตัวได้ดี กลืนไปกับผิว ทำให้ผิวได้รับความชุ่มชื้นอย่างล้ำลึก หลังฉีดสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันที และคงผลลัพธ์ได้นานถึง 6 – 9 เดือนครับ


Juvelook มีข้อดี – ข้อเสียอะไรบ้าง ?

ฟิลเลอร์งานผิว

ข้อดี

  • ปลอดภัยและมีผลข้างเคียงน้อย
  • เห็นผลลัพธ์ชัดเจน
  • ผลลัพธ์คงอยู่นาน
  • สามารถใช้รักษาปัญหาผิวต่าง ๆ ได้หลากหลาย

ข้อเสีย

  • หลังฉีดอาจมีอาการบวมแดง บริเวณที่ฉีดเล็กน้อย และจะหายเองใน 1-2 วัน

ข้อควรทราบ การปฏิบัติตัว และการดูแลตัวเองก่อน – หลังฉีด Juvelook

การเตรียมตัวที่ดีก่อนฉีด และการดูแลตัวเองหลังฉีด Juvelook เป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติครับ เพราะจะช่วยลดความเสี่ยง หรือผลข้างเคียงต่าง ๆ ได้

การเตรียมตัวก่อนฉีด Juvelook

  • ปรึกษาแพทย์ ประเมินสภาพผิว

ก่อนเข้ารับการฉีด Juvelook ควรจะปรึกษาแพทย์เพื่อให้แพทย์ประเมินสภาพผิว รวมถึงพูดคุยถึงปัญหาที่คนไข้กังวล และการฉีด Juvelook สามารถแก้ไข หรือตอบโจทย์ความต้องการของคนไข้หรือไม่

นอกจากนี้ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพ เช่น มียา/วิตามินที่คุณกำลังรับประทานอยู่หรือไม่ มีประวัติทางการแพทย์ หรือ โรคประจำตัวหรือไม่

ควรหลีกเลี่ยงการฉีด Juvelook ในกลุ่มใดบ้าง ?

– ในกลุ่มผู้ที่แพ้ HA หรือกรดโพลิแลกติก
– ผู้ที่มีปัญหาเลือดแข็งตัวผิดปกติ และผู้ที่เป็นแผลคีย์รอย
– ผู้ที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

  • งดสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์

การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์อาจส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพการฉีดตัวยา Juvelook ครับ ดังนั้นก่อนฉีดควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนเข้ารับการรักษา

  • งดยาผลัดเซลล์ผิว

ก่อนฉีดควรงดยาผลัดเซลล์ผิว การสครับขัดหน้า รวมถึงงดคอร์สเลเซอร์และนวดหน้าอย่างน้อย 3 วัน ก่อนฉีด ที่เสี่ยงทำให้เกิดการระคายเคืองผิว

การดูแลหลังฉีด Juvelook

การดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมหลังการรักษาด้วย Juvelook เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้คุณได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์คำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังการฉีด Juvelook ดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ฉีด : เพื่อป้องกันการติดเชื้อ หรือเกิดการอักเสบได้
  • หลีกเลี่ยงการแต่งหน้า : ควรเลี่ยงการแต่งหน้าในบริเวณที่ฉีดเป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก : การออกกำลังกายหนัก ๆ อาจทำให้เกิดการอักเสบและบวมในบริเวณที่ฉีด
  • งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ : แอลกอฮอล์และบุหรี่อาจทำให้การฟื้นตัวช้าลงและเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดอาการบวม
  • หลีกเลี่ยงความร้อนสูง : เช่น การอาบน้ำร้อน ซาวน่า หรือการโดนแสงแดดจัด ควรหลีกเลี่ยงเป็นเวลาอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์

แนะนำ : ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อให้ Hyaluronic Acid ดูดซับน้ำได้ดีและให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด กรณีที่มีอาการบวมแดงหรือช้ำ สามารถประคบเย็น โดยควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการประคบเย็นครับ


Juvelook กี่วันเห็นผล ? อยู่ได้นานไหม ? กี่ครั้งเห็นผล ? ฉีดซ้ำได้ไหม ?

หลังจากฉีด Juvelook สามารถเห็นผลได้ทันทีว่าริ้วรอยดูตื้นขึ้นเล็กน้อยเนื่องจาก Juvelook มีส่วนผสมของ HA จากนั้นประมาณ 2 – 4 สัปดาห์หลังฉีด สาร PDLLA ใน Juvelook จะเริ่มช่วยกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวแข็งแรง แน่นกระชับ และกระจ่างใสขึ้น

ผลลัพธ์หลังฉีด Juvelook

กระบวนการฉีด แนะนำให้ฉีด Juvelook 3 ครั้ง ต่อเนื่องกันเดือนละครั้ง หลังจากฉีดครบ 3 ครั้งแล้วค่อยมาฉีดอีกเพื่อคงผลลัพธ์ เมื่อครบ 6 – 12 เดือน โดยผลลัพธ์หลังจากที่ฉีด Juvelook ไปแล้วสามารถอยู่ได้นานถึง 2 ปี แต่ขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตของแต่ละคนด้วย


Juvelook ราคาเท่าไร ?

ราคาของ Juvelook จะแตกต่างกันไปตามโปรโมชันของแต่ละคลินิกครับ โดยจะมีราคา Juvelook เฉลี่ยอยู่ 15,000 บาทขึ้นไปต่อ 1 ขวด กรณีพบราคาที่ถูกกว่า ต้องระวังเพราะอาจเป็นตัวยาปลอม หรือตัวยาที่ลักลอบนำเข้าอย่างผิดกฎหมาย ตัวยาเสื่อมสภาพ หากนำมาฉีดอาจไม่เห็นผล หรือ เกิดผลข้างเคียงหลังจากฉีดได้


ฉีด Juvelook อันตรายไหม ? มีผลข้างเคียงไหม ?

Juvelook เป็นสารที่ปลอดภัยและมีผลข้างเคียงน้อยมากครับ ผลข้างเคียงที่พบได้ คือมีอาการบวมแดงเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด ซึ่งจะหายไปเองภายใน 1-2 วัน จึงไม่เป็นอันตราย

นอกจากนี้ Juvelook ยังเป็น PDLLA ที่สกัดจากธรรมชาติ มีความบริสุทธิ์ 100% จึงไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย หากใช้ตัวยาแท้ ที่ได้มาตรฐาน

กรณีฉีดเป็นก้อน (nodule) ส่วนใหญ่เกิดจากการนำไปใช้ที่ไม่ถูกวิธี เช่น ผสมเข้มข้นเกินไป ฉีดตื้นเกินไป หรือใช้เวลาในการผสมไม่เพียงพอ ดังนั้นการฉีด Juvelook ควรฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์และฉีดกับคลินิกที่ได้มาตรฐานเท่านั้น

Q & A ตอบข้อสงสัย เกี่ยวกับการฉีด Juvelook

Q : ถ้าฉีด Sculptra , CaHa , Gouri มาแล้วควรเว้นระยะกี่เดือนจึงสามารถมาฉีด Juvelook ได้
A : เว้นระยะ 3-6 เดือน

Q : ถ้ามีหัตถการการทำเลเซอร์ หรือทรีตเมนต์ ฉีดผิว ชนิดต่าง ๆ ควรเรียงลำดับทำอย่างไร ?
A : ควรทำหัตถการอื่น ๆ ก่อน และ ค่อยทำ juvelook ตามหลัง หรือหากมีหัตถการความงามอื่น ๆ ที่ต้องทำ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ สอบถามในแต่ละหัตถการครับ

Q : juvelook สามารถใช้ร่วมกับ Filler ได้หรือไม่ ?
A : สามารถใช้ร่วมกันได้ เพราะฉีดคนละชั้นกัน

Q : juvelook สามารถทำรวมกับขั้นตอนการยกกระชับด้วย Thermage FLX, Ulthera และ Ultraformer ได้หรือไม่ ?
A : สามารถทำร่วมกันได้ครับ โดยทำหัตถการกลุ่มเครื่องยกกระชับก่อน


สรุป Juvelook คุ้มค่าต่อการฉีดตามกระแสไหม ?

Juvelook เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน ที่ช่วยปรับสภาพผิวให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้นได้ ถือเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งในการนำมาใช้ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาริ้วรอย หลุมสิว รอยแผลเป็น และกระชับรูขุมขนได้ หากต้องการผลลัพธ์ที่ดี และคุ้มค่าในการทำควรฉีดให้ครบ 3 ครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดครับ

ผู้ที่สนใจฉีด Juvelook เบื้องต้น ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด และควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการฉีด เพื่อประเมินความเหมาะสมกับสภาพผิวและความต้องการ เมื่อตัดสินใจฉีด ควรเข้ารับบริการกับคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ มั่นใจว่าใช้ตัวยาแท้ที่สามารถตรวจสอบได้ ที่สำคัญควรฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้นครับ


สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ V Square Clinic ทุกคนยินดีให้คำปรึกษาฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง inbox facebook หรือ Line นี้ได้เลยครับ หมอตอบเองครับ

ปรึกษาหมอ