ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid)
ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid : HA / Hyaluron) หรือไฮยาลูโรนิก แอซิด เป็นสารที่มีความจำเป็นต่อผิว มีการสังเคราะห์สารไฮยาลูรอนและนำไปใช้หลากหลายรูปแบบครับ สามารถนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง ? กินได้ไหม ? เลือกใช้อย่างไร ? ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
มาทำความรู้จัก ไฮยาลูรอน คืออะไร ? สกัดมาจากอะไร ? อันตรายไหม ? ทำงานอย่างไร ? เหมาะกับใคร ? มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร ? ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?
จะเห็นได้ว่าในปัจจุบัน ไฮยาลูรอนเป็นส่วนประกอบสำคัญของหลาย ๆ ผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิว หรือสกินแคร์ (Skincare) เช่น เซรั่มไฮยา ครีมไฮยาลูรอน วิตามินไฮยา รวมถึงสารเติมเต็มเรียกว่า ฟิลเลอร์ (Filler) ฉีดฟิลเลอร์ประเภท HA ดีไหม ? เลือกฉีดอย่างไร พิจารณาอะไรบ้าง ?
สารบัญ ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid)
ไฮยาลูรอน คืออะไร ?
ไฮยาลูรอน หรือกรดไฮยาลูโรนิก แอซิด เป็นสารที่ร่างกายผลิตขึ้นได้เองตามธรรมชาติ มีประโยชน์หลายด้านครับ โดยเฉพาะด้านผิวพรรณ เนื่องจากไฮยาลูรอนมีคุณสมบัติอุ้มน้ำ กักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิว โดยสามารถอุ้มน้ำได้มากถึง 1,000 เท่า
Hyaluron จะเข้าไปเติมเต็มช่องว่างระหว่างคอลลาเจนและอิลาสตินให้เกิดการยึดเกาะกันได้ดียิ่งขึ้น และยังกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ให้ผลิตคอลลาเจนและอิลาสตินเพิ่มมากขึ้นด้วยครับ ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น เต่งตึง ไร้ริ้วรอย เรียบเนียน ใบหน้าดูอ่อนเยาว์
แต่เมื่ออายุมากขึ้นไฮยาลูรอนที่ร่างกายสร้างขึ้นได้เองนี้ จะลดน้อยลงเรื่อย ๆ ทำให้ผิวเสื่อมสภาพ ในทางการแพทย์จึงมีการคิดค้นและผลิตไฮยาลูรอนขึ้นมาทดแทน โดยนำมาใช้ในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสารเติมเต็ม สกินแคร์ต่าง ๆ เช่น ครีมทาผิว มอยส์เจอร์ไรเซอร์ เซรั่มไฮยา หรือแม้แต่วิตามินแร่ธาตุ อาหารเสริม ยารักษาโรคบางชนิด ก็มีไฮยาลูรอนเป็นส่วนประกอบ
ไฮยาลูโรนิก หน้าตาเป็นอย่างไร ?
หน้าตาของกรดไฮยาลูโรนิก จะมีลักษณะเหนียวใสและมีความยืดหยุ่นสูงคล้ายเจลลี่ มีโครงสร้างโมเลกุลเป็นสายโซ่ยาวพันเกี่ยวกัน มีหน่วยเล็ก ๆ หลายหน่วยเชื่อมกันจนกลายเป็นสารประกอบโมเลกุลขนาดใหญ่ และมีมวลโมเลกุลมาก หรือที่เรียกว่าพอลิเมอร์ (Polymer) สายโซ่จำนวนมากนี้ทำให้สารต่าง ๆ เกาะติดกันได้ เป็นพอลิเมอร์ที่ดีที่สุดสำหรับการดูดซับน้ำ โดยจะกระจายตัวอยู่ทั่วไปตามเนื้อเยื่อในร่างกาย
ไฮยาลูรอน เกิดขึ้นเองได้โดยธรรมชาติ หรือสกัดมาจากอะไร ?
ไฮยาลูรอน เป็นโมเลกุลของน้ำตาลชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่าพอลิแซ็กคาไรด์ (Polysaccharide) มีอยู่ในเนื้อเยื่อของร่างกาย เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เพราะร่างกายสร้างขึ้น โดยจะอยู่ในชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) และชั้นหนังแท้ (Dermis) เพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นและพยุงโครงสร้างผิวเอาไว้
นอกจากจะพบไฮยาลูรอนได้ในร่างกายมนุษย์แล้ว ยังสามารถพบได้ในสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เช่น กระต่าย วัว ไก่ แบคทีเรีย จุลสาหร่าย ยีสต์ และหอย
ในยุคแรก ๆ มีการสกัดไฮยาลูรอนจากแหล่งอื่น ๆ เช่น หงอนไก่ และวุ้นลูกตาของวัว แต่ด้วยข้อจำกัดด้านปริมาณการใช้ และอายุการใช้งานที่สั้น เนื่องจากมีการปนเปื้อนของเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ย่อยสลายกรดไฮยาลูโรนิกจากเซลล์สัตว์
ต่อมาจึงได้มีการสกัดกรดไฮยาลูโรนิกจากเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัส (Streptococcus) ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับกรดไฮยาลูโรนิกธรรมชาติซึ่งเข้ากับร่างกายของมนุษย์
ถ้าหากขาดไฮยาลูรอน จะมีอาการอย่างไร ?
หากร่างกายขาดไฮยาลูรอน จะมีสัญญาณที่บ่งบอกครับ เริ่มสังเกตได้จากผิวที่เริ่มเสื่อมสภาพ หรือผิวเริ่มแก่ เช่น
- ผิวขาดความชุ่มชื้น ขาดน้ำ
- ผิวแห้งกร้าน ลอกเป็นขุย
- ผิวหมองคล้ำ ไม่สดใส เปล่งปลั่ง
- ผิวมีฝ้า กระ จุดด่างดำ
- ผิวหย่อนคล้อย ไม่ยืดหยุ่น กระชับ
- ผิวไม่เรียบเนียน รูขุมขนกว้าง
- ผิวมีริ้วรอยเหี่ยวย่น ร่องลึก
ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?
ไฮยาลูรอน ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นในชั้นผิว ทำให้ผิวดูสุขภาพดี ผิวดูเด็ก แต่เมื่ออายุ 20+ ไฮยาลูรอนตามธรรมชาติจะลดลงเรื่อย ๆ ครับ แม้จะสามารถป้องกันไฮยาลูรอนในร่างกายเสื่อมได้ด้วยการดูแลผิวตั้งแต่เนิ่น ๆ แต่ก็ยังมีปัจจัยภายนอก เช่น แสงแดด มลภาวะ ฝุ่นควันต่าง ๆ ที่หลีกเลี่ยงได้ยากในแต่ละวัน จึงทำได้เพียงชะลอไฮยาลูรอนตามธรรมชาติไม่ให้เสื่อมเร็ว
ส่วนไฮยาลูรอนที่ผลิตและคิดค้นขึ้นมาทดแทน มีสภาพใกล้เคียงไฮยาลูรอนตามธรรมชาติ ถูกนำไปใช้ในหลายรูปแบบ ทั้งทา กิน ฉีด โดยหลัก ๆ ช่วยในเรื่องความสวยความงาม เน้นงานผิว และยังช่วยบรรเทาและรักษาโรคบางชนิดได้ครับ
กระบวนการทำงานของไฮยาลูรอน เป็นอย่างไร ?
กระบวนการทำงานของไฮยาลูรอน ไม่ว่าจะใช้ในรูปแบบทา กิน หรือฉีด จะเข้าไปช่วยทดแทนไฮยาลูรอนที่ผลิตได้น้อยลง โดยวิธีการ ผลลัพธ์ที่ได้ รวมถึงระยะเวลาเห็นผลจะแตกต่างกัน ตามขนาดโมเลกุลและความเข้มข้นที่ใช้
นำกรดไฮยาลูโรนิก (HA) ไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง ?
กรดไฮยาลูรอนนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายด้าน หมอแบ่งออกเป็น 4 ด้านหลัก ๆ ได้แก่
1.ลดริ้วรอย ให้ความชุ่มชื้น ไฮยาลูรอนมีจุดเด่นในเรื่องล็อกความชุ่มชื้นไว้ในผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น นุ่มเด้ง อิ่มฟู ปรับสภาพผิวให้ดูสุขภาพดี กระจ่างใส เรียบเนียน ไร้ริ้วรอย จึงมีการนำมาเป็นส่วนประกอบในครีมลดริ้วรอย เช่น เซรั่มหัวไฮยา ไฮยาเซรั่ม ครีมไฮยาลูรอน และฟิลเลอร์สกินบูสเตอร์ (Skin Booster)
2.ปรับรูปหน้า เติมเต็มร่องลึก แพทย์ความงามได้มีการนำไฮยาลูโรนิก แอซิด มาฉีดปรับรูปหน้าให้มีมิติมากขึ้น เติมเต็มร่องลึกในหลายตำแหน่ง เช่น
- ฟิลเลอร์ใต้ตา
- ฟิลเลอร์ร่องแก้ม
- ฟิลเลอร์หน้าผาก
- ฟิลเลอร์ขมับ
- ฟิลเลอร์แก้มส้ม
- ฟิลเลอร์ปาก
- ฟิลเลอร์คาง
- ฟิลเลอร์กรอบหน้า
3.รักษาโรค องค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ US FDA อนุมัติให้มีการใช้ไฮยาลูรอนในการฉีดรักษาและป้องกันโรคบางชนิด เช่น
- โรคข้อเข่าเสื่อม
- ภาวะอักเสบรอบข้อไหล่
- ป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก จากโรคกระดูกพรุน
- ลดอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดบริเวณข้อ
- รักษาตาต้อกระจก ตาแห้ง
- รักษาแผลในปาก
- สมานแผลไฟไหม้
4.บำรุงจากภายใน มีการใช้ไฮยาลูรอนในรูปแบบอาหารเสริม เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการทดแทนไฮยาลูรอนในร่างกาย ช่วยในเรื่องผิวพรรณ รวมทั้งรักษาและป้องกันโรค
ผลิตภัณฑ์ที่เกิดจาก ไฮยาลูรอน
- ฟิลเลอร์ จากกรดไฮยาลูโรนิก
- เซรั่มไฮยาลูรอน/ครีมไฮยาลูรอน
- วิตามินบำรุง/อาหารเสริม Hyaluronic Acid
- ยาบรรเทาและรักษาโรค
ฟิลเลอร์ จากกรดไฮยาลูโรนิก
ฟิลเลอร์ สร้างขึ้นเลียนแบบไฮยาลูรอนตามธรรมชาติ มีหลายยี่ห้อ หลายรุ่น ฉีดเพื่อทดแทนส่วนสำคัญของโครงสร้างผิว ทั้งไฮยาลูรอน คอลลาเจน และอิลาสติน ที่ร่างกายสูญเสียไปเมื่ออายุมากขึ้น ช่วยคงสภาพผิวให้มีความชุ่มชื้น ลดริ้วรอย เติมเต็มร่องลึก ปรับโครงสร้างใบหน้าได้เป็นธรรมชาติ หลังฉีดเห็นผลการเปลี่ยนแปลงทันที อยู่ได้นานตั้งแต่ 6-24 เดือน
เซรั่มไฮยาลูรอน/ครีมไฮยาลูรอน
เซรั่ม มอยส์เจอร์ไรเซอร์ ครีมบำรุงผิวหลายยี่ห้อ มักมีส่วนประกอบของไฮยาลูรอน เน้นให้ความชุ่มชื้น ลดริ้วรอยเล็ก ๆ โดยมีการพัฒนาให้กรดไฮยาลูรอนมีขนาดโมเลกุลเล็กลง เพื่อให้ซึมเข้าสู่ผิวได้จากภายนอก เพราะถ้ามีขนาดโมเลกุลค่อนข้างใหญ่ ความสามารถในการแทรกซึมเข้าสู่ผิวชั้นหนังแท้ก็จะน้อยลงตามไปด้วย การทากรดไฮยาลูโรนิกที่มีขนาดใหญ่จึงเป็นเพียงการเคลือบผิว เพื่อปกป้องไม่ให้สูญเสียน้ำใต้ผิวเท่านั้น
วิตามินบำรุง/อาหารเสริม Hyaluronic Acid
ผลิตออกมาในรูปแบบเม็ด เพื่อรับประทาน โดยมีปริมาณความเข้มข้นของไฮยาลูรอนแตกต่างกัน นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบอื่น ๆ เช่น คอลลาเจน และสารสกัดต่าง ๆ ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณที่แห้งกร้านให้ชุ่มชื้น นุ่มลื่นขึ้น ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร ซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ และบางผลิตภัณฑ์อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง ซึ่งต้องระมัดระวัง
ยาบรรเทาและรักษาโรค
US FDA อนุมัติให้ใช้ไฮยาลูรอนิก แอซิด ในการรักษาโรคบางชนิด เช่น โรคข้อเข่าเสื่อม โรคต้อกระจก บรรเทาอาการตาแห้ง รักษาแผลในปาก และสมานแผลไฟไหม้
ผลิตภัณฑ์จากไฮยาลูรอน อันตรายไหม ?
ไฮยาลูรอน เป็นสารที่ไม่อันตราย แต่เมื่อนำมาใช้ในรูปแบบที่ต่างกัน ก็จะมีวิธีการตรวจสอบที่แตกต่างกันออกไปครับ ก่อนใช้จึงควรตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือไม่ โดยสามารถพิมพ์ชื่อผลิตภัณฑ์ หรือเช็กเลขผลิตภัณฑ์ได้ที่เว็บไซต์ของ อย. คลิกที่นี่ เพื่อเช็กว่าผ่านการรับรอง เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตหรือนำเข้าอย่างถูกต้อง มีความปลอดภัย
ในกรณีฟิลเลอร์ ถ้าเป็นฟิลเลอร์แท้ที่เป็นไฮยาลูโรนิก แอซิด มีความปลอดภัยครับ สลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย ไม่ก่อให้เกิดการแพ้ ผ่านการรับรองจาก US FDA และ อย.ไทย
หมอยกตัวอย่างวิธีเช็กฟิลเลอร์ นอกจากเช็กกับเว็บไซต์ อย.แล้ว ยังสามารถตรวจสอบได้ด้วยตัวเอง ดังนี้
- กล่องฟิลเลอร์ปิดผนึกเรียบร้อย ไม่มีร่องรอยผ่านการแกะมาก่อน
- มีเลขทะเบียน อย. และเอกสารกำกับภาษาไทยอยู่ภายในกล่อง
- เลข Lot. ที่กล่อง ซอง สติกเกอร์ หลอด ต้องตรงกันทุกจุด
- มีราคาระบุ และวันหมดอายุระบุอยู่ข้างกล่อง
- ฟิลเลอร์บางยี่ห้อสามารถสแกน QR Code ตรวจสอบได้ด้วยแอปพลิเคชัน
- โทรเช็กเลข Lot.กับบริษัทนำเข้าผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์ยี่ห้อนั้น ๆ ได้
ไฮยาลูรอนมีผลข้างเคียงไหม ?
ไฮยาลูรอนที่ได้มาตรฐาน มีความปลอดภัย โอกาสเกิดผลข้างเคียงแทบไม่มีเลยครับ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบไฮยาลูรอนที่นำมาใช้ด้วย หมอแบ่งออกเป็น 3 กรณี คือ
- ไฮยาลูรอนแบบทา ควรเลือกที่มีความเข้มข้นของไฮยาลูรอนต่ำกว่า 2% เพราะเป็นปริมาณที่มีประสิทธิภาพในการซึมซาบเพื่อฟื้นบำรุงผิวและไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ หากมากกว่านั้นอาจเกิดการแพ้ เช่น มีอาการบวม หรือผื่นแพ้หลังใช้ โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวบอบบาง
- ไฮยาลูรอนแบบฉีด หรือฟิลเลอร์ ถ้าฉีดไฮยาลูรอนของแท้ ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลครับ ผลข้างเคียงหลังฉีด เช่น อาการบวม รอยแดง รอยเข็ม เป็นอาการปกติครับ สามารถหายได้เอง แต่เพื่อให้มั่นใจได้ในผลลัพธ์และความปลอดภัย ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้ฟิลเลอร์ของแท้ และฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์
- ไฮยาลูรอนแบบกิน เช่น วิตามินอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของไฮยาลูรอน ปัจจุบันสามารถซื้อหาได้สะดวกทางช่องทางออนไลน์ แต่ก็ไม่ใช่ทุกยี่ห้อที่จะได้มาตรฐาน ก่อนซื้อต้องพิจารณาดี ๆ หรือขอคำแนะนำจากแพทย์และเภสัชกร
ไฮยาลูรอนกินได้ไหม ?
ตามที่หมอได้อธิบายไปครับว่า ไฮยาลูรอนมีการนำมาใช้หลากหลายรูปแบบ ถ้าอยู่ในรูปแบบวิตามิน/อาหารเสริม Hyaluronic Acid ส่วนมากจะอยู่ในรูปแบบเม็ด ความแตกต่างของแต่ละยี่ห้อจะอยู่ที่ความเข้มข้นต่อเม็ด มีงานวิจัยว่าการกิน Hyaluronic Acid แบบเม็ด 120-240 mg/วัน ระยะเวลา 1 เดือน จะช่วยเสริมในเรื่องของผิวพรรณ ทำให้ผิวชุ่มชื้น เนียนนุ่มขึ้น
นอกจากนี้ยังใช้ในผู้ป่วยโรคข้อกระดูกอักเสบที่รับประทานอาหารเสริม Hyaluronic Acid วันละ 80-200 มิลลิกรัม เพื่อบรรเทาอาการปวดหัวเข่า ซึ่งในกรณีนี้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
ฉีดสารเติมเต็มจากไฮยาลูรอน ควรรู้อะไรบ้าง ?
ในประเทศไทย ถ้าพูดถึงสารเติมเต็ม จะหมายถึงฟิลเลอร์ที่เป็นไฮยาลูรอนิค แอซิดแท้ แต่บางคลินิกจะไม่ใช้คำว่าฉีดฟิลเลอร์ ใช้คำว่าฉีดไฮยาลูรอนก็มีครับ ด้วยเหตุผลทางการค้า
ข้อควรรู้ การฉีด Hyaluronic Acid (HA)
การฉีด Hyaluronic Acid (HA) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ถือเป็นหัตถการยอดฮิตในคลินิกเสริมความงาม และถึงแม้ว่าการฉีดฟิลเลอร์จะไม่ใช่หัตถการที่อันตรายหรือมีความเสี่ยงสูง แต่ก็ต้องมีการศึกษาหาข้อมูลก่อนฉีดครับ เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน เลือกหมอที่มีประสบการณ์ ดูเทคนิคการฉีด รีวิวผลลัพธ์ รวมถึงวิธีการสังเกตฟิลเลอร์แท้ยี่ห้อต่าง ๆ เพื่อความปลอดภัย
ฉีดฟิลเลอร์ (HA) มีข้อดี-ข้อเสีย อะไรบ้าง ?
ฉีดฟิลเลอร์ ข้อดี
- ฉีดฟิลเลอร์เป็นวิธีที่ปลอดภัย แพทย์ความงามให้การยอมรับอย่างกว้างขวาง
- เติมเต็มริ้วรอยร่องลึก ปรับรูปหน้า ฟื้นฟูและชะลออายุผิวให้ดูอ่อนเยาว์
- ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ สลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย
- เป็นวิธีที่สะดวก ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก หลังฉีดเห็นผลทันที
- มีฟิลเลอร์หลากหลายยี่ห้อ หลากหลายรุ่นให้แพทย์เลือกใช้แก้ปัญหาให้กับคนไข้
- ให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ ตรงจุด สวยงาม และดูเป็นธรรมชาติ
- หลังทำไม่ต้องพักฟื้น ไม่มีแผล (ลดโอกาสเกิดรอยแผลเป็น มีเพียงรอยเข็มเล็ก ๆ หายได้เอง)
- สามารถเติมได้เรื่อย ๆ ปรับแต่งได้ (ถ้าไม่ชอบก็สามารถฉีดสลายออกได้ 100%)
ฉีดฟิลเลอร์ ข้อเสีย
- ผลลัพธ์จะไม่ได้อยู่ถาวร สามารถกลับมาฉีดซ้ำได้
- หากฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ ผลลัพธ์อาจไม่สวย ไม่เป็นธรรมชาติ เสี่ยงเกิดผลข้างเคียง เช่น ฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน
- ถ้าฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่ใช่ไฮยาลูโรนิก แอซิด ฟิลเลอร์ปลอม ฟิลเลอร์หิ้ว อาจไม่เห็นผลหรือเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย เช่น ฟิลเลอร์อักเสบ ติดเชื้อ ฟิลเลอร์ไหล ฟิลเลอร์เน่า
ข้อควรปฏิบัติและการดูแลตัวเองหลังฉีดไฮยาลูรอน
หลังฉีดฟิลเลอร์ แพทย์จะแนะนำข้อควรปฏิบัติและวิธีการดูแลตัวเอง ควรปฏิบัติตาม เพราะส่งผลต่อการเข้าที่ของฟิลเลอร์ ช่วยให้ฟิลเลอร์เข้าที่เร็วและอยู่ได้นาน
- ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ 1.5-2 ลิตร/วัน
- อยู่แต่ในที่อากาศเย็น หลีกเลี่ยงแสงแดดหรืออากาศร้อนจัด
- ห้ามบีบ นวด แกะ เกา บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์
- งดออกกำลังกายหนัก (48 ชั่วโมงแรก)
- งดเลเซอร์ร้อนที่ลงผิวชั้นลึก 1 เดือน
- งดการดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
ฉีดไฮยาลูรอนใต้ตา ดีไหม ? เป็นอย่างไร ?
การฉีดไฮยาลูรอนใต้ตา หรือ ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา (Under Eye Filler) เป็นวิธีที่ปลอดภัย สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด เห็นผลได้ทันทีหลังฉีด
ไฮยาลูรอนใต้ตา มีขนาดโมเลกุลที่เล็ก และยังมีคุณสมบัติอื่น ๆ เช่น ความยืดหยุ่น ความคงตัว ความอุ้มน้ำ เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวเพื่อเติมเต็มหรือเสริมในชั้นผิว จึงเห็นผลไวครับเมื่อเทียบกับไฮยาลูรอนในรูปแบบอื่น ๆ ที่ต้องใช้ระยะเวลาและการดูแลอย่างสม่ำเสมอถึงจะเห็นผลชัดเจน สามารถแก้ปัญหาใต้ตาได้หลากหลาย ทั้งเบ้าตาลึก ตาโหล ริ้วรอยใต้ตา ถุงใต้ตา ขอบตาดำ ใต้ตาคล้ำ ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติครับ
ฉีดไฮยาลูรอน แล้วไม่เห็นผล เกิดจากอะไร ?
โดยปกติหลังฉีดไฮยาลูรอนจะเห็นผลได้ทันทีครับ ถ้าไม่เห็นผลส่วนใหญ่จะเกิดจากฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ เลือกยี่ห้อ เลือกรุ่นไม่เหมาะสม ไม่รู้เทคนิคการฉีด หรือคำนวณปริมาณไฮยาน้อยเกินไป ทำให้ฉีดแล้วไม่เห็นผล
หากใช้ Hyaluronic Acid ในปริมาณที่ไม่เหมาะสม จะเป็นอย่างไร ?
การใช้ Hyaluronic Acid ไม่ว่าจะฉีด ทา หรือรับประทานเข้าไป ต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม
หมอยกตัวอย่างการฉีดไฮยาลูรอน แพทย์ที่มีประสบการณ์นอกจากจะคำนึงความปลอดภัยแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้ก็ต้องออกมาดูเป็นธรรมชาติด้วยครับ การฉีดไฮยาลูรอนใต้ตา โดยเฉลี่ยใช้อยู่ที่ 2-4 CC ก็สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน แต่ถ้าร่องใต้ตาไม่ลึกมาก ฉีดข้างละ 1 CC ก็เพียงพอ
ถ้าใช้ไฮยาลูโรนิก แอซิด มากเกินไป อาจทำให้ผลลัพธ์หลังฉีดใต้ตาออกมาไม่สวย ดูไม่เป็นธรรมชาติ ใต้ตาเป็นก้อน บวม ย้อย หรือเห็นเป็นถุงใต้ตา ทำให้ต้องมาฉีดสลายฟิลเลอร์ในภายหลัง
ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) ดีไหม ? มีข้อควรระวังอะไรบ้าง ?
ไฮยาลูรอน ได้รับการยอมรับในผลลัพธ์และความปลอดภัย แต่การเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของไฮยาลูรอนมาใช้ในรูปแบบต่าง ๆ ก็มีข้อควรระวังครับ เพราะหากไม่เช็กดี ๆ ก็อาจจะเจอของปลอมได้ ดังนั้นจึงควรเช็กแหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์ ถ้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถซื้อหาได้เอง ก็ต้องเลือกซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ ศึกษาคุณสมบัติ ประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ก่อนใช้
ในส่วนของการฉีดไฮยาลูรอนก็เช่นเดียวกันครับ นอกจากใช้ฟิลเลอร์แท้ สามารถตรวจสอบกับบริษัทผู้ผลิตได้ว่าเป็นของแท้แล้ว เทคนิคที่แพทย์ใช้ก็สำคัญครับ แต่ละตำแหน่งมีความยาก-ง่ายในการฉีดที่แตกต่างกัน อาจต้องใช้เทคนิคการขั้นสูง ซึ่งก็ต้องฉีดกับแพทย์ประสบการณ์สูง ถึงจะมั่นใจได้ในคุณภาพและความปลอดภัย
V Square Clinic คลินิกที่ได้มาตรฐาน เปิดให้บริการอย่างถูกต้อง ใช้ฟิลเลอร์แท้ แกะกล่องใหม่ให้ดูต่อหน้าทุกเคส ให้กล่องและหลอดกลับบ้าน ทีมแพทย์มีประสบการณ์สูงด้านการฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้า วิเคราะห์ปัญหาแม่นยำ ตรงจุด เลือกใช้ยี่ห้อฟิลเลอร์ รุ่นฟิลเลอร์ที่เหมาะสม มีเทคนิคเฉพาะและใช้ศิลปะการฉีดฟิลเลอร์ “Fine Art of Filler” เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามในทุกตำแหน่งครับ
สรุป
ไฮยาลูรอน เป็นสารจำเป็นที่ร่างกายสร้างขึ้นได้เองตามธรรมชาติ แต่เมื่ออายุมากขึ้น ไฮยาลูรอนจะลดน้อยลง จึงมีการคิดค้นและผลิตไฮยาลูรอนขึ้นมาทดแทน ใช้ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ทา กิน และฉีด เพื่อแก้ปัญหาผิว เช่น ริ้วรอย ร่องลึก หรือฟื้นฟูสภาพผิวให้ดูมีสุขภาพดี
แต่ละรูปแบบของ Hyaluronic Acid แตกต่างกันที่วิธีการใช้ ขนาดโมเลกุล ปริมาณความเข้มข้นที่ใช้ รวมถึงระยะเวลาเห็นผล ดังนั้นก่อนใช้ไฮยาลูรอนจึงต้องรู้ปัญหาของตนเองก่อนครับ อยากแก้ไขจุดไหน เพื่อจะได้เลือกรูปแบบไฮยาลูรอนที่เหมาะสม ซึ่งถ้าต้องการวิธีที่สะดวกและเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว การฉีดฟิลเลอร์ หรือฉีดไฮยาลูรอน ใช้ระยะเวลาไม่นานและเห็นผลได้หลังทำทันทีครับ