ฟิลเลอร์ กับ โบท็อกซ์
ฟิลเลอร์ (Filler) กับ โบท็อกซ์ (Botox) ทั้ง 2 หัตถการแม้จะช่วยเรื่องลดริ้วรอย ลดอายุผิว คืนความอ่อนเยาว์ให้กับใบหน้า แต่ก็มีความแตกต่างกันในเรื่องกระบวนการและการออกฤทธิ์ของตัวยาครับ ใครที่อยากทำทั้งสองหัตถการนี้ แต่ไม่รู้จะเลือกวิธีไหนดี ? แต่ละวิธีช่วยอะไรได้บ้าง หรือแตกต่างกันอย่างไร ?
หากสนใจและอยากทราบข้อมูลเกี่ยวกับ โบท็อกซ์ กับ ฟิลเลอร์ เหมาะกับใครบ้าง หรือเหมาะกับปัญหาใด ?อยากทำทั้ง 2 หัตถการได้ไหม ? หมอมีคำตอบมาฝากครับ พร้อมข้อมูลแบบเจาะลึก ฟิลเลอร์ คืออะไร ? โบท็อก คืออะไร ? ก่อนตัดสินใจฉีด ควรรู้อะไรบ้าง ? ลองอ่านหรือลองดูรีวิวฉีดฟิลเลอร์-รีวิวโบท็อกในบทความนี้เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจก่อนได้ครับ
สารบัญ Filler กับ Botox
ฟิลเลอร์ (Filler) กับ โบท็อกซ์ (Botox) อันไหนถูกกว่า ราคาต่างกันเพราะอะไร ?
สำหรับมือใหม่ที่อยากเริ่มต้นดูแลตัวเอง ต้องการจัดการปัญหาริ้วรอย คืนความอ่อนเยาว์ให้กับใบหน้า แต่ไม่รู้จะเลือกฉีดฟิลเลอร์หรือโบท็อกดี วิธีไหนคุ้มค่ากว่ากัน ?
หากจะเริ่มดูที่เรื่องของราคาเป็นที่ตั้ง ฉีดฟิลเลอร์ (Filler) กับ โบท็อกซ์ (Botox) อันไหนถูกกว่ากัน ? กรณีนี้ต้องขึ้นอยู่กับว่าเปรียบเทียบกับยี่ห้อใด รุ่นใด ที่สำคัญเลือกตรงกับปัญหาจริง ๆ หรือไม่ ?
หมอต้องอธิบายก่อนว่าในวงการความงาม มีฟิลเลอร์ กับ โบท็อกซ์ อยู่หลายยี่ห้อครับ ผลิตจากหลายประเทศ แต่โดยทั่วไปจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ ผลิตจากฝั่งยุโรปและเอเชีย ซึ่งฝั่งยุโรปจะมีราคาสูงกว่าฝั่งเอเชีย
ฟิลเลอร์ราคาเท่าไร ?
ข้อมูลราคาฟิลเลอร์ เปรียบเทียบแต่ละยี่ห้อ/รุ่น โดยเป็นราคารุ่นที่ v square clinic เลือกใช้ดังนี้ครับ
- ฟิลเลอร์พรีเมียม หรือฟิลเลอร์ที่ผลิตจากประเทศฝั่งยุโรป ได้แก่ ยี่ห้อ Restylane จากประเทศสวีเดน, ยี่ห้อ Juvederm จากประเทศอเมริกา, ยี่ห้อ Definisse จากประเทศอิตาลี, ยี่ห้อ Belotero และ Teoxane จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์
กลุ่มนี้จะเป็นฟิลเลอร์ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน แพทย์ทั่วโลกยอมรับ เป็นฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน และมีความปลอดภัยสูง ราคาเริ่มต้นที่ 11,000 -18,000 บาท ต่อ 1 CC ครับ
ฉีดโบท็อกราคาเท่าไร ?
ยี่ห้อของโบท็อก ปัจจุบันมีหลายยี่ห้อและผลิตจากหลายประเทศเช่นกัน ได้แก่ โบท็อกยี่ห้อ Allergan ของอเมริกา, โบท็อกยี่ห้อ Dysport ของอังกฤษ และโบท็อกยี่ห้อ Xeomin ของเยอรมัน ราคาเริ่มต้นที่ 18,999 -15,999 บาท ต่อ 100 ยูนิต
ส่วน โบท็อกยี่ห้อ Aestox, Nabota และ Neuronox ของเกาหลี ราคาเริ่มต้นที่ 6,999-9,500 บาท ต่อ 100 ยูนิต ทั้งนี้ราคาการฉีดยังขึ้นกับตำแหน่งที่ฉีดด้วยครับ เพราะแต่ละตำแหน่งมีเทคนิคการฉีดที่แตกต่างกัน
ฟิลเลอร์ กับ โบท็อก ราคาต่างกันเพราะ ?
สาเหตุที่ทำให้ฟิลเลอร์กับโบท็อก ราคาต่างกัน เป็นเพราะมีกระบวนการผลิตที่แตกต่างกันครับ การนำมาใช้ก็มุ่งหวังผลลัพธ์หลังการรักษาที่ต่างกันด้วย เรียกว่าคุณสมบัติทุกอย่างต่างกันทั้งหมดครับ เพียงแต่ทั้ง 2 หัตถการ ถูกนำมาใช้เพื่อเป้าหมายคล้ายกัน ๆ คือ ลดริ้วรอย คืนความอ่อนเยาว์
ซึ่งในเป้าหมายของการลดริ้วรอย คืนความอ่อนเยาว์ ก็ยังมีรายละเอียดและคำจำกัดความ ที่แตกต่างกันออกไปอีก หมอจะอธิบายรายละเอียดความแตกต่าง ๆ ในแต่ละหัวข้อถัดไปครับ
คำจำกัดความง่าย ๆ ของ ฟิลเลอร์ กับ โบท็อกซ์ เพื่อให้เข้าใจว่าเหมือนหรือต่าง
อย่างที่หมอเกริ่นไป ว่าฟิลเลอร์กับโบท็อกซ์ มีคุณสมบัติต่างกัน คราวนี้เรามาลงลึกถึงรายละเอียดของทั้งฟิลเลอร์ และโบท็อก ดังนี้
ฟิลเลอร์ คือ สารฉีดเพื่อเติมเต็ม
คำจำกัดความของฟิลเลอร์ คือ ฉีดเพื่อเติมเต็มครับ จุดไหนลึก บุ๋ม ยุบ หมอจะใช้ Filler ฉีดเข้าไปเพื่อเติมเต็ม ทำให้ตื้นขึ้น หรือเสริมให้สมดุล เช่น ร่องแก้ม ร่องใต้ตา ขมับที่ตอบยุบ จะใช้การฉีดฟิลเลอร์เข้าไปช่วยเติมเต็ม เติมร่องแก้มให้ตื้นขึ้น ช่วยให้ร่องใต้ตาที่ลึก จนตาโหล ขอบตาดำ ให้กลับมาตื้นเรียบเนียน ช่วยเติมขมับที่ตอบยุบให้อิ่มเต็มขึ้น ทำให้ใบหน้าโดยรวมมีความละมุน ไม่แข็ง หรือดูโทรม ดูแก่ได้ครับ
ก่อนฉีดฟิลเลอร์ครั้งแรกควรรู้อะไร ?
ในส่วนของการฉีดเสริม สามารถนำฟิลเลอร์มาฉีดเสริมคางเพื่อปรับรูปหน้าให้ยาวขึ้น ฉีดฟิลเลอร์ปาก เพื่อช่วยให้ปากอิ่มเอิบ หรือฉีดฟิลเลอร์เสริมหน้าผากเพื่อช่วยปรับให้หน้าผากโหนกนูนขึ้น เป็นต้น
โบท็อกซ์ คือ สารลดรอยย่น คลี่รอยพับ
โบท็อก มีคุณสมบัติในการทำให้มัดกล้ามเนื้อทำงานได้ลดลงชั่วคราว หลังฉีดโบท็อกซ์บริเวณที่มีริ้วรอย โบท็อกจะเข้าไปขัดขวางการทำงานของสารสื่อประสาท (ACH) ที่อยู่บริเวณปลายเส้นประสาททำให้เกิดการคลายตัวของมัดกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดโบท็อก จึงช่วยลดรอยย่น คลี่รอยพับ ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี เช่น รอยตีนกา ริ้วรอยขมวดคิ้ว ริ้วรอยย่นบริเวณดั้งจมูก
นอกจากนี้โบท็อกยังถูกนำมาใช้ในการช่วยยกกระชับหน้าให้ตึงขึ้น ช่วยให้รูขุมขนเล็กลง หน้าใสและดูเป็นธรรมชาติ ฉีดลดกราม และปรับรูปหน้าให้เรียวเล็กได้ครับ
ก่อนฉีดควรรู้อะไรบ้าง ?
ฟิลเลอร์ กับ โบท็อกซ์ อาจฉีดในบริเวณเดียวกัน แต่ช่วยแก้ปัญหาคนละอย่าง
หลังจากได้ทำความรู้จัก ฟิลเลอร์กับโบท็อกซ์ ไปบ้างแล้ว จะเห็นว่าทั้ง 2 หัตถการทำงานต่างหน้าที่กันครับ แม้ในบางปัญหาจะมีจุดฉีดบริเวณเดียวกัน แต่ก็ต้องเลือกใช้อย่างเหมาะสม
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไหร่จะเลือกใช้ฟิลเลอร์ หรือ โบท็อก ? เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น ระหว่างการฉีดฟิลเลอร์กับโบท็อก ก่อนอื่นคนไข้ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับริ้วรอยเหี่ยวย่นกันก่อนครับ ริ้วรอยย่นบนใบหน้าของเราจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. Dynamic Wrinkles (expression lines) เป็นรอยย่นที่เกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อ เช่น รอยย่นที่เกิดเมื่อเราหลับตาปี๋ รอยย่นจากการที่เราเลิกหน้าผากบ่อย ๆ รอยย่นแบบนี้ จะรักษาด้วยโบท็อกครับ เพราะมีสาเหตุมาจากการหดตัวของกล้ามเนื้อ และโบท็อกสามารถคลายกล้ามเนื้อบริเวณนั้นได้
2. Static Wrinkles เป็นรอยย่นที่เกิดขึ้น แม้ขณะที่อยู่เฉย ๆ ผิวก็มีรอยยับ เห็นเป็นร่อง มีสาเหตุมาจากความเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ใต้ผิว ทำให้ชั้นผิวกลวงโบ๋ เกิดรอยบุ๋ม มีร่องลึกที่เห็นชัดเจน แม้จะไม่ได้ยิ้มหรือหัวเราะ แสดงสีหน้าอาการใด ๆ รอยย่นลักษณะนี้จะไม่สามารถแก้ได้ด้วยโบท็อกครับ เพราะปัญหาไม่ได้เกิดจากกล้ามเนื้อเท่านั้น จึงต้องมีการเติมฟิลเลอร์เข้าไปให้ผิวเต็มตื้นขึ้น
หลังฉีดฟิลเลอร์จะเห็นการเปลี่ยนแปลงทันที ริ้วรอย ร่องลึกจะให้หายไป แต่สำหรับโบท็อกต้องรอเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ถึงจะเห็นผลครับ
โบท็อกซ์ กับ ฟิลเลอร์ อาจเหมือนกันที่ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องริ้วรอย
โบท็อก กับ ฟิลเลอร์ ถือเป็นผู้ช่วยสำคัญในการกำจัดปัญหาริ้วรอย โดยที่ไม่ต้องผ่าตัด ในหัวข้อนี้เราจะมา Focus แต่ละปัญหาริ้วรอย ลักษณะริ้วรอยแบบไหน ตำแหน่งใด ถึงจะเหมาะกับการรักษาด้วย ฟิลเลอร์ หรือ โบท็อก ครับ
ฟิลเลอร์ ช่วยเรื่องอะไร ฉีดตำแหน่งไหนได้บ้าง ?
รีวิวหลังแก้ปัญหา ใต้ตาลึก ขอบตาคล้ำ
การฉีดฟิลเลอร์ สามารถช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยร่องลึก หรือตำแหน่งที่ยุบ บุ๋ม และต้องการเสริมได้ ซึ่งสามารถฉีดได้หลายตำแหน่งครับ ขึ้นอยู่กับว่าคนไข้มีปัญหาบริเวณไหนบ้าง ?
สำหรับบนใบหน้ามี 7 จุด ที่ฉีดฟิลเลอร์ แล้วเห็นผลการเปลี่ยนแปลงชัดเจนที่สุด ดังนี้
โบท็อกซ์ ช่วยเรื่องอะไร ฉีดตำแหน่งไหนได้บ้าง ?
การฉีดโบท็อก สามารถช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่น เช่น รอยย่นบริเวณหน้าผาก รอบดวงตา หางตา ตีนกา การฉีดโบท็อกลดริ้วรอยเป็นหัตถการที่แก้ไขได้ตรงจุดครับ โดยสามารถช่วยลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้าได้อย่างเห็นผล
ตำแหน่งฉีดโบท็อกซ์ที่ได้รับความนิยม
Filler กับ Botox ต่างกันที่ตัวยา และการออกฤทธิ์ของยา
อย่างที่หมออธิบายไปในหัวข้อข้างต้น ว่า Filler กับ Botox มีคุณสมบัติต่างกัน โดยสิ่งที่ทำให้คุณสมบัติต่างกัน เป็นเพราะทั้ง 2 หัตถการมีตัวยาที่ต่างกันครับ
ฟิลเลอร์ เป็นสารเติมเต็ม ประเภท Hyaluronic Acid
จริง ๆ แล้ว คำว่า ฟิลเลอร์ (Filler) เป็นคำกว้าง ๆ ครับ ฟิลเลอร์มีหลายชนิด แต่ฟิลเลอร์ที่นำมาใช้ในทางการแพทย์และมีความปลอดภัยสูง คือ ฟิลเลอร์ประเภท สารไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid)
ฟิลเลอร์ หรือ สารไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) เป็นสารที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเลียนแบบ สารไฮยาลูรอน ตามธรรมชาติในชั้นผิวหนังและกระดูกอ่อนของมนุษย์ เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของคอลลาเจน มีคุณสมบัติเด่นในการอุ้มน้ำได้ดี ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น รักษาความชุ่มชื้น และป้องกันริ้วรอยบนผิวหนัง
ปัจจุบันฟิลเลอร์นิยมใช้แพร่หลายทั่วโลกครับ เพราะมีความปลอดภัยสูง ฟิลเลอร์อยู่ได้นาน 6-24 เดือน หลังจาก นั้นจะย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่มีสารตกค้าง หากฟิลเลอร์สลายก็ฉีดเติมใหม่ได้เรื่อย ๆ โดยไม่มีผลข้างเคียงครับ
Botox หรือ Botulinum Toxin เป็นสารสกัดจากแบคทีเรีย ที่มีชื่อว่า “Clostridium botulinum”
คำว่า Botox (โบท็อกซ์) เป็นชื่อทางการค้า ของสารโปรตีนบริสุทธิ์ Botulinum Toxin Type A ซึ่งสกัดจากแบคทีเรียทชื่อ คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium botulinum) ออกฤทธิ์โดยการไปจับกับส่วนปลาย ของเซลล์ประสาท ทำให้เซลล์ประสาทไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาทได้
มีผลทำให้มัดกล้ามเนื้อทำงานลดลงชั่วคราว ลดการขยับของกล้ามเนื้อที่ก่อให้เกิดริ้วรอยเวลาแสดงสีหน้า คลายตัวลง (Dynamic wrinkle) จึงช่วยลดริ้วรอย ลดกราม ปรับรูปหน้าและทำให้ผิวเต่งตึงได้ครับ
ปัจจุบันมีโบท็อกให้เลือกใช้หลายยี่ห้อเช่นกัน ซึ่งโบท็อกของแต่ละยี่ห้อจะมีระยะเวลาอยู่ได้นานไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับคุณสมบัติ กรรมวิธีการทำตัวยาให้บริสุทธิ์ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 3-6 เดือน โดยโบท็อกแท้สามารถสลายหมด 100% และไม่มีสารตกค้างครับ
ฟิลเลอร์ (Filler) กับ โบท็อก (Botox) ต่างกันที่หน่วยนับ
ในส่วนของปริมาณ และบรรจุภัณฑ์ของฟิลเลอร์ กับ โบท็อก จะมีหน่วยนับที่ต่างกัน เพราะตัวยาที่ใช้มาในรูปแบบที่แตกต่างกันครับ
โบท็อกจะมีหน่วยนับเป็น ยูนิต ส่วนฟิลเลอร์จะนับเป็น ซีซี ซึ่งทั้ง 2 ตัวยานี้จะนำมานับเพื่อเปรียบเทียบปริมาณกันไม่ได้
ยกตัวอย่าง โบท็อก 100 ยูนิต จะไม่สามารถเทียบเป็น cc ได้ครับ เนื่องจากตัวยาโบท็อกจะมาในรูปแบบผลึกแห้ง ๆ ดูได้จากก้นขวด แต่ถ้าจะนับเป็น cc คือต้องนับตอนที่ผสมปริมาณน้ำเกลือแล้ว ซึ่งขั้นตอนก่อนฉีดจะต้องผสมน้ำเกลือเพื่อให้ตัวยาละลายถึงจะนำมาฉีดได้ครับ
- โบท็อก 100 ยูนิต จะใช้น้ำเกลือ 2.6 cc
- โบท็อก 50 ยูนิต ใช้น้ำเกลือ 1.3 cc
ส่วนฟิลเลอร์จะมีหน่วยนับเป็น CC โดยฟิลเลอร์ 1 หลอด มี 1 CC หรือ 1 ml. (เมื่อดึงเนื้อฟิลเลอร์ออกจากไซริงค์ 1 CC จะมีขนาดประมาณ 1 เหรียญบาท) มาในลักษณะเนื้อเจล แบบเนื้อละเอียด เนื้อนิ่มและเนื้อแน่น ตามรุ่นและยี่ห้อ ซึ่งแพทย์สามารถเลือกนำมาใช้ให้เหมาะกับตำแหน่งฉีดได้
ฟิลเลอร์นับเป็น CC ฉีดฟิลเลอร์แต่ละตำแหน่งใช้กี่ CC ?
ฟิลเลอร์ 1 CC นำมาฉีดตรงไหนได้บ้าง แต่ละตำแหน่งจะต้องใช้กี่ CC ? ในกรณีนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาของคนไข้ครับ ว่ามีมากน้อยเพียงใด เช่น ในกรณีที่ใต้ตาลึกมาก ๆ ขมับตอบมาก ๆ ก็อาจจะต้องใช้ปริมาณฟิลเลอร์มากกว่า 1 CC ครับ แต่โดยเฉลี่ย ในแต่ละตำแหน่งจะใช้ปริมาณฟิลเลอร์ดังนี้
โบท็อกนับเป็นยูนิต (unit) ฉีดโบท็อกแต่ละตำแหน่งใช้กี่ยูนิต ?
โบท็อกจะมีหน่วยนับเป็นยูนิต (Unit) โดยโบท็อก 1 ขวด ส่วนมากจะเป็นขวด 100 ยูนิต นอกจากนี้จะมีขวดขนาด 50 ยูนิต, 200 ยูนิต และ 300 ยูนิต ในบางยี่ห้อ
ตัวอย่างตำแหน่งฉีดโบท็อกกับปริมาณยูนิตที่ใช้
แต่ละเคสอาจใช้ปริมาณโบท็อกมากน้อยแตกต่างกันได้ ขึ้นอยู่กับปัญหา ความต้องการ และการประเมินของแพทย์ เพื่อให้การฉีดโบท็อกคุ้มค่าคุ้มราคาที่สุด
Filler กับ Botox มีประเด็นปลีกย่อยที่แตกต่างกันในเรื่องไหนอีก ?
ในส่วนของความแตกต่างของ Filler กับ Botox นอกจากสิ่งที่กล่าวมา ยังมีเรื่องของระยะเวลาการเห็นผลลัพธ์ และระยะเวลาการคงผลลัพธ์
ระยะเวลาเห็นผล ที่แตกต่างกันของฟิลเลอร์ กับ โบท็อกซ์
หลังฉีด Filler กับ Botox จะมีระยะเวลาการเห็นผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน
- Filler : หลังฉีดสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันที
- Botox : หลังฉีดจะสามารถเห็นผลในช่วง 3-4 วัน
ระยะเวลาการคงผลลัพธ์ ของฟิลเลอร์ กับ โบท็อกซ์
ระยะเวลาการคงผลลัพธ์ของ Filler กับ Botox ก็แตกต่างกันครับ
- หลังฉีดฟิลเลอร์ : สามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-24 เดือน และสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ 100%
- หลังฉีดโบท็อก : สามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 4-6 เดือน สลายหมด 100% เช่นกัน
ดูรีวิวฟิลเลอร์ กับ โบท็อกซ์ ประกอบการตัดสินใจ
เพื่อให้ง่ายต่อการตัดสินใจ หมอมีลักษณะริ้วรอย และรีวิววิธีการแก้ปัญหาด้วยฟิลเลอร์และโบท็อกมาแนะนำดังนี้
รีวิวฉีดฟิลเลอร์
หัวใจสำคัญของการฉีดฟิลเลอร์ คือ ฉีดเพื่อเติมเต็มริ้วรอยร่องลึกให้ตื้นขึ้น ช่วยให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ และฉีดเสริมเพื่อปรับรูปหน้า เพื่อให้ใบหน้าสมส่วน ดูมีมิติ จึงมีตำแหน่งฉีดหลายจุดดังนี้
รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แก้ปัญหาใต้ตาคล้ำ ใต้ตาลึก ตาโหล
ในเคสที่มีปัญหาหลายปัญหา โดยเฉพาะเคสที่เริ่มมีอายุ เพื่อปรับให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ อาจจะต้องฉีดฟิลเลอร์หลายตำแหน่งพร้อม ๆ กัน เช่น ฟิลเลอร์ใต้ตา ร่วมกับฟิลเลอร์ร่องแก้ม หรือฟิลเลอร์ยกมุมปาก เพื่อปรับให้ใบหน้าดูยกกระชับมากขึ้น
รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ร่วมกับฟิลเลอร์ร่องแก้ม ยกมุมปาก
รีวิวฉีดฟิลเลอร์ขมับแก้ปัญหาขมับยุบ ขมับตอบ เสริมโหงวเฮ้ง
นอกจากการฉีดเพื่อเติมเต็มแล้ว ในส่วนของการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเสริม หรือปรับรูปหน้า จุดที่ได้รับความนิยม เช่น การฉีดฟิลเลอร์คาง ฟิลเลอร์ปาก หลังทำสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีครับ
รีวิวฉีดฟิลเลอร์ปาก ช่วยให้ปากอวบอิ่ม และเป็นทรงมากขึ้น
รีวิวฉีดฟิลเลอร์คาง ปรับรูปหน้าให้หน้าเรียว สมส่วน
รีวิวโบท็อก
เป้าหมายหลักของการฉีดโบท็อก (Botox) จะช่วยรักษาริ้วรอยบนใบหน้า ลดรอยเหี่ยวย่นหน้าผาก หางตา ตีนกา หลังฉีดจะช่วยทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์มากขึ้นครับ
รีวิวฉีดโบท็อกลดริ้วรอย
ถ้าต้องเลือก 1 อย่าง ฉีดฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์ ดีกว่า ?
ฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์ มีความเหมาะสมในการแก้ปัญหาที่ต่างกัน หากต้องการเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องเลือกต้องพิจารณาจากปัญหาของคนไข้เป็นหลักครับ
ฉีดฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์พร้อมกันได้ไหม ?
การฉีดฟิลเลอร์ และโบท็อก เป็นหัตถการที่สามารถทำร่วมกันได้ครับ สามารถช่วยให้เห็นผลลัพธ์ดีขึ้น
ยกตัวอย่าง ในกรณีคนไข้มีปัญหาร่องแก้มลึก การใช้ฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มกระดูกที่ยุบตัวในร่องแก้มจะทำให้ร่องแก้มตื้นขึ้น แต่เนื่องจากปัญหาร่องแก้มมีหลายสาเหตุ ในเคสที่มีปัญหาร่องแก้มลึกที่มีสาเหตุจากการยิ้มบ่อย ๆ ทำให้กล้ามเนื้อที่ดึงร่องแก้มเกินไป หมอจะแก้ไขด้วยการใช้โบท็อกปริมาณเล็กน้อยร่วมด้วย โดยฉีดลงในชั้นผิว เพื่อให้เส้นเอ็นของกล้ามเนื้อที่มาเกาะกับผิวหนังชั้นบนคลายตัว แต่ที่ไม่ทำให้กล้ามเนื้อชั้นล่างคลายไปด้วย ซึ่งเทคนิคนี้จะเรียกว่า Dermotoxin
อย่างไรก็ตาม ไม่ควรใช้โบท็อกทั้งหมดด้วยอัตรา 100% เพราะอาจทำให้ยิ้มดูแข็งแรงเกินไปและไม่ธรรมชาติ ควรใช้โบท็อกอย่างน้อย 50% และใช้ฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มด้วยเทคนิค Myomodulation ซึ่งเป็นการใช้ฟิลเลอร์ฉีดหนุนหรือกดกล้ามเนื้อ ทำให้ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อบางส่วนได้ โดยไม่ทำให้แข็งเกินไป ร่องแก้มที่ดูลึกตื้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ และริ้วรอยต่าง ๆ ลดลง ที่สำคัญทำให้ผลลัพธ์ยังคงอยู่ได้นานกว่าการใช้โบท็อกเพียงอย่างเดียวครับ
ถ้าทำพร้อมกัน ควรฉีดโบท็อกหรือฟิลเลอร์ก่อน
ลำดับการ ฉีด Filler กับ Botox ก่อน หลัง ขึ้นอยู่กับปัญหาในแต่ละเคสครับ โดยจะต้องให้แพทย์ประเมินใบหน้าก่อน
ดังนั้นก่อนฉีดคนไข้ควรปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์การปรับรูปหน้า เพื่อให้แพทย์เรียงลำดับการทำได้อย่างถูกต้อง เพื่อความคุ้มค่า ปลอดภัยและ เห็นผลมากที่สุด
การฉีดฟิลเลอร์กับโบท็อกซ์อันตรายไหม ? ดีไหม ?
สำหรับใครที่ยังมีข้อกังวลใจว่า การฉีดฟิลเลอร์กับโบท็อกซ์จะเป็นอันตราย หรือรู้สึกว่าเป็นการฉีดสารแปลกปลอม ควรฉีดจะฉีดดีไหม ?
ในความเป็นจริง ทั้ง 2 หัตถการมีความปลอดภัยสูงครับ อย่างตัวฟิลเลอร์ในทางการแพทย์ก็ไม่ถือเป็นสารแปลกปลอมครับ เพราะ HA เป็นสารที่ร่างกายมีอยู่แล้ว แต่ค่อย ๆ สลายไปตามกาลเวลา การเติมฟิลเลอร์ชนิดนี้จึงไม่ใช้การฉีดเติมสารแปลกปลอม อีกทั้งเมื่อฉีดไปแล้วในระยะหนึ่งก็จะสลายได้เองเช่นกัน
ส่วนการฉีดโบท็อก หากเป็น โบท็อกแท้ที่ได้มาตรฐาน สามารถสลายเองได้ 100% ไม่มีสารตกค้างเช่นกัน จึงมีความปลอดภัยสูง
ความอันตรายของทั้ง 2 หัตถการ ตามที่เคยเห็นตามข่าวจะมาจากการฉีดกับหมอกระเป๋า ฟิลเลอร์ปลอม โบท็อกปลอมครับ ดังนั้นก่อนตัดสินใจฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์กที่ไหน ต้องมั่นใจว่าเป็นคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้ตัวยาฟิลเลอร์โบท็อกแท้ และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้นครับ
สรุป
ฟิลเลอร์ (Filler) กับ โบท็อกซ์ (Botox) เป็นหัตถการที่ช่วยคืนความอ่อนเยาว์ได้อย่างเห็นผลครับ จึงได้รับความนิยมสูง สำหรับใครที่สนใจ อยากดูแลตัวเอง ต้องการฉีดฟิลเลอร์กับโบท็อก ควรคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน หมอมีประสบการณ์ เพื่อให้หมอช่วยประเมินปัญหาผิวและแนะนำหัตถการที่เหมาะสม สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดครับ
