Juvederm Volite
Juvederm Volite หรือ Skinbooster Volite เป็นนวัตกรรมฟิลเลอร์งานผิวที่มีคุณสมบัติพิเศษ ไม่เพียงแต่ช่วยเติมเต็มร่องลึก แต่ยังช่วยฟื้นฟูคุณภาพของผิวจากภายในด้วยการกระตุ้นให้ AQP3 เพิ่มขึ้นในชั้นผิวได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อฉีดเข้าผิวแล้วจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวได้ถึง 1000 เท่า ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ ฉ่ำวาวยาวนานถึง 8-12 เดือน หลังการฉีดเพียง 1 ครั้งครับ
ฟิลเลอร์ Juvederm Volite คืออะไร ? ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ? มีจุดเด่นในเรื่องไหน เหมาะกับใคร ? ฉีดตำแหน่งไหนได้บ้าง แต่ละจุดใช้กี่ CC ? ฟิลเลอร์ Juvederm Volite แตกต่างจากฟิลเลอร์ Juvederm รุ่นอื่น ๆ อย่างไร ? มีข้อควรระวัง และการดูแลตัวเองก่อน – หลังฉีดอย่างไรบ้าง ? หลังฉีดกี่วันเห็นผล อยู่ได้นานไหม ? Juvederm Volite ราคาเท่าไหร่ ? ฉีดที่ไหนดี ? ในบทความนี้หมอจะพาไปทำความรู้จัก Juvederm Volite กันให้มากขึ้น เพื่อให้คนไข้สามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจว่าเหมาะกับคนไข้หรือไม่ครับ
สารบัญ Juvederm Volite
Juvederm Volite คือ ฟิลเลอร์งานผิว ที่มีความโดดเด่นกว่าตัวอื่น ๆ จริงไหม ?
Juvederm Volite คือ ฟิลเลอร์ กรดไฮยาลูโรนิค ( Hyaluronic Acid – HA ) จาก Allergan Aesthetics หนึ่งในผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ความงามชั้นนำจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบริษัทเดียวกับที่ผลิต Botox Allergan ครับ เป็นยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากแพทย์ทั่วโลก และได้รับรองการนำเข้าอย่างถูกต้องจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
ส่วนประกอบของ Juvederm Volite จะเป็น HA หรือ ไฮยาลูรอน ที่ผ่านกระบวนการ Cross-linking พิเศษด้วยเทคโนโลยี VyCross ซึ่งเป็นเทคโนโลยีตัวใหม่ล่าสุด ลิขสิทธิ์เฉพาะของ Allergan ที่ถูกพัฒนาให้มีคุณสมบัติเฉพาะ คือ มีโมเลกุลหนาแน่น บวมน้ำน้อย ฟิลเลอร์เรียบเนียนไปกับผิว ไม่มีปัญหาฟิลเลอร์เป็นก้อนในภายหลัง
อีกคุณสมบัติเด่นของ Skinbooster Volite คือ ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวได้ถึง 1000 เท่า และยังกระตุ้นให้ AQP3 (Aquaporin 3; Water and Glycerol Transporter) เพิ่มขึ้นในชั้นผิวอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ ฉ่ำวาว พร้อมทั้งช่วยให้รูขุมขนกระชับและผิวดูสุขภาพดี สามารถใช้ในการฉีดแก้ไขปัญหาผิวบริเวณใบหน้า ลำคอ และมือ เหมาะกับทุกเพศ ทุกวัยคงผลลัพธ์ได้ยาวนานถึง 8-12 เดือน หลังการฉีดเพียง 1 ครั้ง
เทรนด์หัตถการงานผิวในปัจจุบัน เป็นอย่างไร ? มีแบบไหนบ้าง ?
เทรนด์หัตถการงานผิวในปัจจุบัน จะเน้นไปที่การปรับโครงสร้างผิวจากภายในเป็นหลัก หรือที่เรียกว่า “การดูแลผิวแบบองค์รวม” ซึ่งจะเป็นการฟื้นฟูคุณภาพผิวให้ดูสุขภาพดีอย่างยั่งยืน ด้วยใช้นวัตกรรมความงามที่ทันสมัยมาเป็นตัวช่วยเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและไวขึ้น หมอจะยกตัวอย่างเทรนด์หัตถการงานผิวมาให้ดูกันครับ
- การใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ : เทคโนโลยีเลเซอร์ในปัจจุบันมีความละเอียดและแม่นยำสูง ใช้ในการรักษาปัญหาผิวหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องริ้วรอย จุดด่างดำ รอยสิว หรือแม้แต่ผิวที่ไม่เรียบเนียน
- การรักษาด้วยแสง LED : เป็นเทคนิคการดูแลผิวที่ใช้แสงจาก LED ในการกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมและการฟื้นฟูผิวหน้า วิธีการนี้ไม่เจ็บและไม่มีการรบกวนผิวหน้า ทำให้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการการดูแลผิวอย่างอ่อนโยน ช่วยในการลดการอักเสบ กระตุ้นการผลิตคอลลาเจน และปรับปรุงสุขภาพผิวโดยรวม
- การใช้ Micro-needling ร่วมกับสารบำรุง : เป็นเทคนิคการใช้เข็มขนาดเล็กเรียกว่า Derma Roller หรือ Derma Pen เพื่อกระตุ้นให้ผิวเริ่มกระบวนการซ่อมแซมตัวเอง ซึ่งช่วยในการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินเพิ่มขึ้น
- หลังจากที่ทำการ Micro-needling สารบำรุงผิวต่าง ๆ เช่น เซรัมที่มีวิตามิน กรดไฮยาลูโรนิค หรือสารต้านอนุมูลอิสระ จะถูกนำมาใช้บนผิวหน้า การที่ผิวมีรูเล็กๆ จากการทำ Micro-needling ช่วยให้สารบำรุงเหล่านี้ซึมเข้าไปในผิวได้ง่ายและลึกขึ้น
- การใช้เทคโนโลยี Cryotherapy : เป็นการใช้ความเย็นที่อุณหภูมิต่ำ ซึ่งอาจอยู่ที่ประมาณ -110°C ถึง -140°C ในการรักษาผิว เช่น ใช้ในการลดการอักเสบของผิวหน้า ช่วยปรับปรุงการไหลเวียนของเลือด และกระตุ้นการฟื้นฟูผิว
- การทำ PRP (Platelet-Rich Plasma) Therapy : เป็นการใช้เซลล์เกี่ยวกับเลือดจากตัวคนไข้เองในการฟื้นฟูและซ่อมแซมผิว ช่วยในการเพิ่มคอลลาเจนและกระตุ้นการฟื้นฟูผิว
- การฉีดสารอาหารผิว : เป็นการฉีดสารอาหารผิว เช่น กรดไฮยาลูโรนิค วิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารอื่น ๆเข้าสู่ชั้นผิวโดยตรง เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ กระจ่างใสผิวมีความยืดหยุ่น และลดการเกิดปัญหาผิวต่าง ๆ
- การใช้เครื่องยกกระชับผิว : เป็นการใช้เทคโนโลยีคลื่นเสียงความถี่สูง หรือพลังงานความร้อนจากคลื่นวิทยุในการกระชับผิวและลดริ้วรอย โดยไม่ต้องผ่าตัด ช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์และกระชับขึ้น เครื่องยกกระชับผิวที่นิยม เช่น Ultherapy Hifu Ultraformer III และ Thermage
- การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน Biostimulator : เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนภายในผิว ซึ่งมีคุณสมบัติหลักในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนภายในผิว คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่มีความสำคัญต่อความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และโครงสร้างของผิวหนัง ด้วยการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน สาร Biostimulator จึงช่วยในการฟื้นฟู ปรับปรุง และรักษาผิวให้ดูอ่อนเยาว์และสุขภาพดี
- การฉีดฟิลเลอร์ : Skinbooster หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ฟิลเลอร์งานผิว” เป็นวิธีการฟื้นฟูคุณภาพผิวด้วยการใช้สารเติมเต็มที่มีส่วนประกอบหลักเป็นกรดไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic Acid ) ซึ่งเป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติในผิวหนังของเรา ปัจจุบันมีฟิลเลอร์ปรับสภาพผิวให้เลือกใช้หลายยี่ห้อ แต่ยี่ห้อที่นิยมจะมี Juvederm Volite, Restylane vital light และ Belotero Revive ครับ
- การฉีด Skinbooster จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ อ่อนนุ่ม และมีสุขภาพดี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเติมเต็มความชุ่มชื้นและฟื้นฟูคุณภาพของผิวแบบเห็นผลเร่งด่วน เป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการการดูแลผิวอย่างอ่อนโยนและปลอดภัยครับ
ทำความรู้จัก ฟิลเลอร์งานผิว skinbooster กับ biostimulator แตกต่างกันอย่างไร ?
ฟิลเลอร์งานผิว (Skinbooster) กับ Biostimulator มีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องของส่วนประกอบ วิธีการใช้งาน และผลลัพธ์ที่ได้ ซึ่งทั้งสองประเภทนี้มีความเฉพาะทางในการดูแล และฟื้นฟูสภาพผิวอย่างมีประสิทธิภาพ
- Skinbooster (ฟิลเลอร์งานผิว) : Skinbooster เป็นสารเติมเต็มที่มีส่วนประกอบหลักเป็นกรดไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic Acid) ที่มีโมโลกุลขนาดเล็ก เนื้อบาง ถือเป็นสารสำคัญในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้ยาวนาน เรียบเนียน และมีสุขภาพดี
- ฟิลเลอร์ Skinbooster จะฉีดเข้าไปในผิวชั้นตื้น (Deep Dermis) โดยจะเข้าไปปรับปรุงคุณภาพของผิวโดยรวม เน้นฟื้นฟูคุณภาพผิว (skin quality) ให้ผิวเด้ง มีน้ำมีนวล ดูอ่อนวัย ไม่เน้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือโครงสร้างใบหน้า
- Biostimulator : Biostimulator เป็นสารเติมเต็มที่มีหน้าที่กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนภายในผิว ทำให้ผิวมีความกระชับ ยืดหยุ่น มีความแข็งแรงมากขึ้น และช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยที่เกิดจากการแก่ของผิว รักษาใบหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ไว้ได้นานขึ้น
- สารที่ใช้ใน Biostimulator จะเป็นสารที่ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนโดยตรง เช่น PLLA (Poly-L-Lactic Acid), CaHA (Calcium Hydroxylapatite) และ PCL (Polycaprolactone) เมื่อนำมาฉีดเข้าไปในผิว มันจะทำหน้าที่กระตุ้นให้ผิวผลิตคอลลาเจนเพิ่มขึ้น ทำให้ผิวดูมีชีวิตชีวาและเต่งตึงยิ่งขึ้น
- ผลลัพธ์ของการใช้ Biostimulator ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของผิวอย่างรวดเร็ว แต่เป็นการปรับปรุงคุณภาพของผิวจากภายใน โดยจะเริ่มเห็นผล 1 เดือนหลังทำ ผิวจะมีความยืดหยุ่น กระชับ และลดเลือนริ้วรอยได้เป็นอย่างดี ซึ่งต่างจาก Skinbooster ที่ให้ผลลัพธ์ทันที
สรุป ฟิลเลอร์งานผิว skinbooster กับ biostimulator แตกต่างกันอย่างไร เลือกแบบไหนดี ?
ทั้งฟิลเลอร์งานผิว (Skinbooster) และ Biostimulator มีบทบาทสำคัญในการดูแลและฟื้นฟูสภาพผิวเหมือนกันครับ ดังนั้นการเลือกใช้ระหว่าง Skinbooster กับ Biostimulator จึงขึ้นอยู่กับเป้าหมายในการดูแลผิว และความต้องการของแต่ละบุคคล
หากต้องการฟื้นฟูผิวโดยเน้นการเพิ่มความชุ่มชื้น แก้ปัญหาผิวแห้ง ให้ฉ่ำวาว หน้าเด้งแบบเห็นผลทันที การใช้ Skinbooster อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม ในขณะที่ Biostimulator จะเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ระยะยาวในการปรับปรุงโครงสร้างผิวด้วยการกระตุ้นคอลลาเจน และเพิ่มความกระชับและความยืดหยุ่นของผิว
เปรียบเทียบ Juvederm Volite กับ ฟิลเลอร์รุ่นอื่น ๆ โดดเด่นกว่าอย่างไร ?
คุณสมบัติที่ทำให้ฟิลเลอร์ juvederm volite แตกต่างจากรุ่นอื่น ๆ และเหมาะกับการฉีด Skin Booster คือ เนื้อฟิลเลอร์จะเป็น HA ที่ผ่านกระบวนการ Cross-linking พิเศษด้วยเทคโนโลยี VyCross ที่ทำให้มีโมเลกุลหนาแน่น บวมน้ำน้อย ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวได้ถึง 1000 เท่า และยังกระตุ้น AQP3 (Aquaporin 3; Water and Glycerol Transporter) ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ ฉ่ำวาวยาวนานถึง 8-12 เดือน หลังการฉีดเพียง 1 ครั้ง
ส่วนฟิลเลอร์ juvederm รุ่นอื่น ๆ ใช่ว่าจะฉีดแล้วบวมนะครับ เพียงแต่ฟิลเลอร์ juvederm แต่ละรุ่นจะมีเนื้อฟิลเลอร์ที่ต่างกันออกไปตามเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิต จึงทำให้เหมาะกับการฉีดแก้ไขปัญหาที่ต่างกันตามไปด้วย
อย่างในรุ่นที่ใช้เทคโนโลยี Hylacross Technology ในการผลิต เช่น Juvederm Ultraplus จะเหมาะกับฉีดแก้ไขปัญหาร่องลึกจากการเปลี่ยนแปลงตามวัย เช่น เติมเต็มร่องแก้ม แก้มตอบ ขมับ เพราะมีคุณสมบัติเด่นในเรื่องของค่าความอุ้มน้ำได้ดี ทำให้ตัวฟิลเลอร์มีความฟู เนื้อละเอียด เรียบเนียน ทนต่อการขยับ มีความยืดหยุ่นสูง หลังฉีดช่วยให้เต็มสวยขึ้น แต่การยึดเกาะยังทำได้ไม่เท่ารุ่นฟิลเลอร์ที่ใช้เทคโนโลยี VYCROSS
ในขณะที่ฟิลเลอร์รุ่นที่ใช้เทคโนโลยี Vycross ในการผลิต เช่น Volite, Voluma, Volift, Volux และ Volbella จะเหมาะกับฉีดยกกระชับ เพิ่มความอวบอิ่มของริมฝีปากหรือฉีดเพื่อเติมเต็มร่องแก้ม ใต้ตา หน้าผาก เพราะมีโมเลกุลยึดเกาะที่หนาแน่น และมีอัตราการบวมน้ำหรืออุ้มน้ำน้อยเมื่อเทียบกับ HA อื่น ๆ จึงช่วยให้ผลลัพธ์หลังฉีดเรียบเนียน ไม่เป็นก้อน ดูเป็นธรรมชาติ และอยู่ได้นานครับ
ส่วนจะเลือกใช้ฟิลเลอร์ Juvederm รุ่นไหนดี ? ไม่มีฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนที่ดีที่สุด หรือใช้ฟิลเลอร์ยี่ห้อเดียว รุ่นเดียว มาฉีดเพื่อแก้ไขทุกปัญหาได้ แพทย์จะพิจารณาจากปัญหาใบหน้า สภาพผิว และแนะนำข้อดีของฟิลเลอร์ Juvederm รุ่นนั้น ๆ ให้คนไข้เลือกได้ตามงบประมาณครับ
เปรียบเทียบ Juvederm Volite กับหัตถการงานผิวอื่น ๆ
นอกจาก Skinbooster Volite แล้ว ยังมีหัตถการงานผิวอื่น ๆ ที่น่าสนใจครับ เช่น ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน Biostimulator, การฉีด Rejuran และ Exosome หนึ่งในกลุ่มเมโสที่ช่วยฟื้นฟูผิวถึงระดับผิวชั้นในได้ รวมถึงการใช้เครื่องยกกระชับผิว
ซึ่งถ้านำมาเปรียบเทียบกับ Juvederm Volite จะทำให้เห็นถึงความแตกต่างในเรื่องส่วนประกอบ วิธีการใช้งาน และผลลัพธ์ที่ได้ ดังนี้ครับ
1. กลุ่มสารกระตุ้นคอลลาเจน Biostimulator
สารกระตุ้นคอลลาเจน หรือ “Biostimulator” คือประเภทหนึ่งของสารที่ใช้ในการดูแลผิวหน้าและร่างกาย ซึ่งมีฟังก์ชันหลักในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนภายในผิวของเรา ซึ่งคอลลาเจนเป็นโปรตีนที่มีความสำคัญต่อความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และโครงสร้างของผิวหนัง ดังนั้นการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนด้วยการใช้สาร Biostimulator จึงมีส่วนช่วยในการฟื้นฟู ปรับปรุง และรักษาผิวให้ดูอ่อนเยาว์และสุขภาพดี
กลุ่มสารกระตุ้นคอลลาเจน Biostimulator ยี่ห้อที่ผ่าน อย.ไทย และได้รับความนิยม เช่น
- Gouri : Gouri (กูรี่) คือ นวัตกรรมความงามที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนที่มีส่วนประกอบหลักเป็นสาร PCL (Polycaprolactone) เป็นสารละลาย 100% ไม่มีการตกค้างในร่างกาย สามารถนำมาใช้ฉีดเข้าชั้นผิวได้อย่างปลอดภัย ผ่านการรับรองจาก อย.ไทย
- Gouri จะเข้าไปกระตุ้นให้เซลล์ Fibroblast ทำการผลิตคอลลาเจนและอิลาสตินให้มีจำนวนมากขึ้นจากเดิม โดยจะเป็นการกระตุ้นตามกระบวนธรรมชาติ เมื่อคอลลาเจนเพิ่มมากขึ้น ผิวที่เสื่อมโทรม แห้งกร้านกลับมาดูสุขภาพดีขึ้น อิ่มน้ำ ชุ่มชื้น รูขุมขนเล็กลง ริ้วรอยเหี่ยวย่นเล็ก ๆ ดูจางลง มีความแน่นฟู กระชับ และเรียบเนียนขึ้นครับ
- Sculptra : Sculptra คือ นวัตกรรมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่มีส่วนประกอบหลักเป็น Poly-L-Lactic acid (PLLA) ที่ผลิตจากสารธรรมชาติ โดยสังเคราะห์มาจากพืช ได้รับการรับรองจาก อย.สหรัฐอเมริกา (US.FDA) ว่ามีความปลอดภัย สามารถสลายได้เอง ไม่ตกค้างในร่างกาย
- Sculptra มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Type 1 ในชั้นผิว ทดแทนคอลลาเจนที่สูญเสียไปเมื่ออายุมากขึ้น ช่วยให้ผิวกระชับ อิ่มฟู ยืดหยุ่น ฟื้นฟูผิวจากโครงสร้างผิวชั้นลึก ทำให้ผิวแข็งแรงจากภายใน คืนความอ่อนเยาว์ให้ผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
- Radiesse : Rediesse คือ นวัตกรรมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่มีส่วนประกอบหลักเป็น CaHA (แคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์) เป็นสารที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในร่างกายครับ โดยจะพบได้ในเนื้อเยื่อกระดูกและฟัน ในทางการแพทย์ CaHA มีใช้มานานกว่า 25 ปี ได้รับรองและอนุมัติจาก US. FDA และ CE. จึงมั่นใจได้ในความปลอดภัยเข้ากันได้ดีกับร่างกาย ไม่เกิดการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ต่อต้าน และสามารถสลายไปตามธรรมชาติ
- สารเติมเต็ม CaHA นี้ ถูกนำมาเป็นส่วนประกอบหลักของผลิตภัณฑ์ Radiesse Filler ที่มีการผลิตด้วยวิธีการสังเคราะห์ ทำให้ได้ CaHA microsphere ที่เหมือนกับสารที่มีอยู่ในร่างกาย มีคุณสมบัติในการช่วยฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพจากอายุที่มากขึ้น กระตุ้นให้เกิดการสร้าง Elastin ในชั้นผิวสูงถึง 250% ทำให้ผิวยืดหยุ่นและคืนตัวได้ดี เสริมความแข็งแรงถึงโครงสร้างรอบเซลล์ผิวในผิวชั้นลึก หลังฉีดผิวจะถูกเติมเต็มได้ทันที อิ่มฟูขึ้น และช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคตได้ครับ
2. กลุ่ม Skin Booster งานผิว
เป็นหนึ่งในเทรนด์การดูแลผิวหน้าที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน โดยเน้นการให้ความชุ่มชื้นและการปรับปรุงคุณภาพผิว ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์และสุขภาพดี เช่น
- Exosome : exosome (เอ็กโซโซม) คือ สารชีวโมเลกุลกว่า 1,000 ชนิด โดยมีตัวที่สำคัญต่อผิว เช่น Growth Factors, Peptides, Amino Acids, Coenzymes, Hyaluronic Acids และโปรตีนต่าง ๆ มากมาย ที่ถูกปล่อยออกมาจากสเต็มเซลล์ (Stem cell) ในรูป exosome บริสุทธิ์
- ประโยชน์ของ exosome เช่น ช่วยเพิ่ม collagen type I 59%, เพิ่ม Hyaluronic acid บนผิว, เพิ่มไซโตไคน์ (Cytokine) และ Growth Factor สามารถลดริ้วรอย ทำให้ผิวตึงกระชับ ยับยั้งการเกิดเม็ดสี ลดฝ้า กระ จุดด่างดำ ลดรอยแผลเป็น รอยสิว กระชับรูขุมขน ผิวจะชุ่มชื้น อิ่มฟู ฉ่ำเด้ง ดูสุขภาพดีขึ้นครับ
- Rejuran : Rejuran (รีจูรัน) มีส่วนประกอบหลักจาก Polynucleotide (PN) ซึ่งมีคุณสมบัติเด่น คือสามารถเชื่อมต่อหลอดเลือดเล็ก ๆ ในเซลล์ (microvessel) จึงสามารถซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสื่อมหรือเสียหายให้ดีขึ้น ต้านการอักเสบ กระตุ้นการหลั่ง Growth Factor และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน มีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูผิว ช่วยให้ผิวแข็งแรง เพิ่มความชุ่มชื้น และสามารถลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ รวมถึงปรับสภาพให้ผิวฉ่ำวาว
3. กลุ่มหัตถการเครื่องยกกระชับผิว
กลุ่มหัตถการเครื่องยกกระชับผิว เป็นกลุ่มที่ใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อยกกระชับและฟื้นฟูคุณภาพของผิว โดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ละเทคโนโลยีมีลักษณะและประโยชน์ที่แตกต่างกัน ดังนี้ครับ
- Ultraformer III : หรือที่เราเรียกว่า Hifu เป็นเครื่องมือยกกระชับผิวที่ใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูง ยิงเข้าไปใต้ชั้นผิวแต่ละชั้น โดยจะครอบคลุมทุกชั้นผิว รวมถึงชั้น smas (ชั้นเดียวกับที่ใช้ผ่าตัดดึงหน้า) เพื่อให้ผิวเกิดการหดตัว คล้าย ๆ กับการเย็บเนื้อผ่าตัดดึงหน้า
- หลังทำผิวดูยกกระชับ ริ้วรอยร่องแก้ม ร่องมุมปากตื้นขึ้น ช่วยลดเหนียง ลดแก้มห้อย และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ในขณะที่การผ่าตัดดึงหน้าไม่สามารถทำได้ หลังทำสามารถใช้หน้าได้เลย ไม่มีรอยแดง ไม่มีแผล ไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น
- Ultraformer III สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงทันทีประมาณ 20% และเห็นผลเต็มที่ในระยะ 2-3 เดือน อยู่ได้นาน 5-6 เดือน สามารถมาทำเพิ่มได้เรื่อย ๆ เพื่อคงสภาพผิว
- Ulthera : มีหลักการทำงานด้วยพลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวด์เหมือนกับ Ultraformer III ครับ แต่ Ulthera จะเป็นเทคโนโลยียกกระชับแบบ Original และมีขนาดจุดโฟกัสของพลังงานที่ใหญ่กว่า จึงให้ผลลัพธ์ที่นานกว่า และมีหน้าจอแสดงระดับความลึกของจุดที่ยิงลงไปจนถึงชั้น SMAS ขณะทำแพทย์จะเห็นรายละเอียดชั้นผิวผ่านหน้าจอเครื่องแบบ Real Time ทำให้มีความละเอียดและแม่นยำ
- Ulthera จะช่วยยกกระชับ ปรับรูปหน้าเรียว V Shape ลดแก้ม ลดเหนียง ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ลดริ้วรอยทั่วใบหน้า ยกคิ้ว ยกหนังตาตก แก้ปัญหาร่องแก้ม เหมาะสำหรับคนที่กลัวเข็ม เพราะไม่ต้องฉีด ไม่ต้องผ่าตัด สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันที 30% ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ผลลัพธ์จะค่อย ๆ ดีขึ้น ตามคอลลาเจนใหม่ที่สร้างขึ้น ผิวยกกระชับขึ้นใน 1-2 เดือน และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนใน 2-3 เดือน อยู่ได้นาน 1 ปี
- Thermage : Thermage เป็นเครื่องยกกระชับผิว เป็นเครื่องยกกระชับผิว สลายไขมันบนใบหน้า และกระตุ้นคอลลาเจนด้วยการใช้พลังงานความร้อนจากคลื่นวิทยุ (Monopolar RF) ยิงลงไปในชั้นผิวหนัง เพื่อให้ผิวเกิดการหดตัว มีการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำให้ผิวแน่น กระชับขึ้นได้ในระยะยาว รวมถึงช่วยฟื้นฟูผิวหนังชั้นบนสุดให้เรียบเนียน กระชับรูขุมขน ในขณะที่เครื่องมือยกกระชับอื่น ๆ ไม่สามารถทำได้ครับ
- หลังทำ Thermage FLX จะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงหลังทำทันทีประมาณ 20% สังเกตว่าผิวยกกระชับขึ้น แก้มยก เห็นผลชัดเจนเต็มที่ใน 2-3 เดือน ร่างกายสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้น ผิวแข็งแรง กระชับ ดูอ่อนกว่าวัยสามารถอยู่ได้นาน 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและอายุของคนไข้ครับ
เมื่อเปรียบเทียบแล้วจะเห็นว่า Juvederm Volite และหัตถการงานผิวอื่น ๆ มีความแตกต่างกันทั้งในแง่ของส่วนประกอบหลัก วิธีการใช้งาน และผลลัพธ์ที่ได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ระยะเวลาในการเห็นผล ต่างจาก Juvederm Volite ที่จะเห็นผลทันทีหลังฉีด หากคนไข้ท่านใดที่าต้องการฟื้นฟูผิวแบบเร่งด่วน การฉีด Skinbooster Volite จะตอบโจทย์ความต้องการกว่าครับ
ทั้งนี้การเลือกใช้หัตถการเหล่านี้ควรพิจารณาจากความต้องการของคนไข้แต่ละบุคคล สภาพผิว และคำแนะนำจากแพทย์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัยครับ
มีวิธีการเลือกพิจารณาทำหัตถการงานผิว เพื่อแก้ปัญหาได้ถูกจุด อย่างไรบ้าง ?
การเลือกทำหัตถการงานผิวเพื่อแก้ปัญหาผิวได้อย่างถูกจุด ควรพิจารณาหลายปัจจัยเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัยครับ ต่อไปนี้คือขั้นตอนและคำแนะนำที่ควรคำนึงถึงก่อนเลือกทำหัตถการงานผิว
- ประเมินปัญหาผิวและเป้าหมาย : ก่อนอื่นควรระบุปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข เช่น ริ้วรอย จุดด่างดำหรือผิวหย่อนคล้อย และกำหนดเป้าหมายว่าต้องการผลลัพธ์แบบใด เพราะความต้องการที่ชัดเจนจะช่วยให้คนไข้และแพทย์วางแผนการแก้ไขได้ตรงจุดมากขึ้น
- ปรึกษาแพทย์ : ควรปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อจะได้ประเมินปัญหาผิว และเลือกวิธีการแก้ไขที่เหมาะสมที่สุดกับปัญหาผิวของคนไข้
- ทำความเข้าใจหัตถการนั้น ๆ : ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับหัตถการที่ต้องการทำ เช่น วิธีการทำงาน ผลลัพธ์ที่คาดหวังได้ ระยะเวลาคงผลลัพธ์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
การเลือกทำหัตถการงานผิวเพื่อแก้ปัญหาที่ถูกจุด ต้องอาศัยการวิเคราะห์อย่างรอบคอบและการปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ พร้อมกับการตระหนักถึงความคาดหวังและผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ ทั้งนี้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและความพึงพอใจสูงสุดจากการรักษา
Juvederm Volite ตอบโจทย์ในการแก้ปัญหาอะไรบ้าง ?
Juvederm Volite เป็นฟิลเลอร์ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การแก้ปัญหาผิวหน้า และฟื้นฟูคุณภาพผิวในหลายด้าน สามารถฉีดเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวได้โดยไม่บวม ไม่เป็นก้อน มีความเรียบเนียนเป็นธรรมชาติ จึงเหมาะกับการใช้เป็น Skin Booster มากที่สุดครับ
จุดเด่น และข้อดีของฟิลเลอร์ Juvederm Volite
- Juvederm Volite ใช้เทคโนโลยี Vycross ในการผลิต จึงทำให้มีคุณสมบัติเด่นในการช่วยยกกระชับ มีโมเลกุลหนาแน่น และมีอัตราการบวมน้ำหรืออุ้มน้ำน้อย ผลลัพธ์หลังฉีดเรียบเนียน ไม่เป็นก้อน
- ช่วยฟื้นฟูคุณภาพผิว (skin quality) ให้ผิวเด้ง ดูอิ่มน้ำ ฉ่ำวาว สุขภาพดี ลดปัญหารูขุมขนกว้าง ทำให้ผิวมีสัมผัสที่ดูดีและเนียนนุ่ม
- เห็นผลลัพธ์ทันที และสามารถกักเก็บความชุ่มชื้นยาวนานถึง 8-12 เดือน หลังการฉีดเพียง 1 ครั้ง
- หากฉีดในตำแหน่งที่ถูกต้อง จะช่วยให้ผิวมีความฟูและกระชับขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากเทคโนโลยี VyCross ที่มีคุณสมบัติเด่นในการยกกระชับ
- ฉีดได้หลายตำแหน่ง ทั้งผิวหน้า ลำคอ และหลังมือ
- ช่วยเติมเต็มหลุมสิว (ใช้ได้ในบางกรณี ต้องตรวจประเมินสภาพผิวกับหมอก่อน)
- ช่วยแก้ไขริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ ได้ทั่วใบหน้า เช่น ริ้วรอยใต้ตา ร่องแก้ม ร่องมุมปาก ริ้วรอยหน้าผาก
Juvederm Volite ตอบโจทย์กับกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาแบบไหนบ้าง ?
- ผู้ที่มีผิวแห้งหรือขาดน้ำ : Juvederm Volite ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวที่ขาดน้ำ ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ รูขุมขนเล็กลง
- ผู้ที่ต้องการลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ : ช่วยในการลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บนผิว และทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
- ผู้ที่ต้องการเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว : การฉีด Juvederm Volite สามารถช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและกระชับขึ้น
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย : ช่วยในการฟื้นฟูและยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย
- ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยบริเวณคอและหลังมือ : การฉีดในบริเวณคอและมือช่วยให้ผิวเหล่านี้ดูเรียบเนียนและมีสุขภาพดีขึ้น
- ผู้ที่มีหลุมสิว : ช่วยเติมเต็มหลุมสิวให้ดูเรียบเนียนขึ้น (หลุมสิวขนาดไม่เกิน 3-5 มม.)
- ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ดูธรรมชาติ : Juvederm Volite ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่เน้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือโครงสร้างใบหน้า
ฉีด Juvederm Volite ในตำแหน่งไหนได้บ้าง ? ใช้กี่ CC ?
ฟิลเลอร์ Juvederm Volite สามารถฉีดได้ทั่วหน้าครับ หรือหากมีตำแหน่งที่ต้องการเน้นเป็นพิเศษก็สามารถฉีดได้ เช่น บางคนผิวหน้าผากแห้งเยอะ ก็จะเน้นฉีดหน้าผาก ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวของแต่ละเคส และการประเมินของหมอครับ โดยตำแหน่งที่สามารถฉีดได้ เช่น
- ทั่วใบหน้า : เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ และฟื้นฟูผิวให้ดูเรียบเนียน
- ริมฝีปาก : แก้ปัญหาปากแห้ง ปากเป็นร่อง ทาลิปสติกแล้วตกร่อง หลังฉีดจะช่วยบำรุงปากชุ่มชื้น อวบอิ่มขึ้นเล็กน้อยโดยใช้ฟิลเลอร์ 1 CC ก็สามารถเห็นผลที่ชัดเจนได้ครับ
- ใต้ตา : ฉีดลดริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณใต้ตา
- หน้าผาก : ช่วยลดริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ
- ลำคอ : ช่วยให้ผิวที่คอเรียบเนียน แก้ปัญหาริ้วรอย ร่องลึกที่คอ
- หลังมือ : ช่วยปรับสภาพผิวหลังมือให้เรียบเนียน เหมาะกับคนที่มือเหี่ยวหรือมีเส้นเลือดปูด
สำหรับปริมาณการใช้ Juvederm Volite กี่ CC นั้น โดยทั่วไปปริมาณที่ใช้ประมาณ 1-2 CC แต่อาจต้องปรับเปลี่ยนตามบุคคลและความต้องการของผิวในแต่ละบริเวณ หรือถ้าคนไข้ไม่แน่ใจ ก็สามารถค่อย ๆ ทยอยฉีดเพื่อดูผลลัพธ์ก่อนได้ ไม่จำเป็นต้องฉีดอัดทีเดียวเยอะ ๆ ครับ
อ่านเพิ่มเติม : ฟิลเลอร์ 1 CC ฉีดตำแหน่งไหนที่เพียงพอ เห็นผลการเปลี่ยนแปลงชัดเจนบ้าง ?
Juvederm Volite มีข้อเสียเปรียบหรือข้อควรระวัง อะไรบ้าง ?
การฉีด Juvederm Volite เป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมในการฟื้นฟูผิวครับ แต่เช่นเดียวกับหัตถการความงามอื่น ๆ ที่แม้จะมีข้อดี แต่ก็จะมีข้อเสียเปรียบและข้อควรระวังอยู่บ้าง
ข้อเสียของ Juvederm Volite
- ฟิลเลอร์ Juvederm Volite ไม่สามารถอยู่ได้ถาวร เพราะเป็นสารเติมเต็ม HA ที่สลายได้เองตามธรรมชาติ แต่สามารถฉีดเติมใหม่ได้เรื่อย ๆ ตามความต้องการเพื่อคงผลลัพธ์
- ต้องฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์และใช้ฟิลเลอร์แท้เท่านั้น เพื่อความปลอดภัย
Juvederm Volite ข้อควรระวัง
- ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการฉีด เพื่อประเมินความเหมาะสมและความเสี่ยง
- ผู้ที่มีประวัติการแพ้กรดไฮยาลูโรนิคหรือส่วนประกอบอื่น ๆ ในผลิตภัณฑ์ควรหลีกเลี่ยงการใช้ หากต้องการแก้ไขปัญหาผิว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีอื่น ๆ ที่เหมาะสมแทน อย่างเช่นการใช้เครื่องยกกระชับ โบท็อก หรือการฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน Biostimulator
- ควรติดตามคำแนะนำการดูแลตัวเองหลังการฉีด เช่น หลีกเลี่ยงการแตะต้องหรือนวดบริเวณที่ฉีด
ฉีดฟิลเลอร์ Juvederm Volite อันตรายไหม ? มีวิธีการป้องกันอย่างไรบ้าง ?
การฉีดฟิลเลอร์ Juvederm Volite ถือเป็นหัตถการที่ปลอดภัยเมื่อทำโดยแพทย์ที่มีความรู้ และประสบการณ์ อย่างไรก็ตาม ทุกขั้นตอนการทำหัตถการมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้นจึงมีวิธีการป้องกันและข้อควรระวังดังนี้ครับ
- เลือกคลินิกและแพทย์ที่มีประสบการณ์ : ทำการฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์และมีความรู้เกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์โดยเฉพาะ เพราะแพทย์จะมีความรู้ด้านกายวิภาคใบหน้าเป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดข้อผิดพลาดหรืออันตรายระหว่างฉีดได้ครับ
- ใช้ฟิลเลอร์แท้ที่มีคุณภาพ : ฟิลเลอร์ที่ดีจะต้องมีความปลอดภัย ละลายได้ 100% โดยไม่มีสารตกค้าง ไม่มีผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อน
- ตรวจสอบประวัติการแพ้ : แจ้งประวัติส่วนตัว โรคประจำตัว การแพ้กับแพทย์ก่อนการฉีด เพื่อจะได้วางแผนการแก้ไขปัญหาร่วมกัน
- ปฏิบัติตามคำแนะนำก่อนและหลังการฉีด : เช่น หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์หรือยาแอสไพรินก่อนการฉีด และหลีกเลี่ยงการนวดหรือกดบริเวณที่ฉีดหลังการฉีด
- ติดตามอาการหลังการฉีด : หากมีอาการผิดปกติ เช่น การบวมหรือแดงมากกว่าปกติ ควรติดต่อแพทย์ทันที
โดยรวมแล้ว การฉีดฟิลเลอร์ Juvederm Volite นับเป็นวิธีแก้ไขปัญหาผิวที่ปลอดภัยเมื่อทำโดยหมอที่มีประสบการณ์และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเหมาะสมครับ
ฉีดฟิลเลอร์ Juvederm Volite มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้บ้างไหม ?
หลังฉีดฟิลเลอร์ Juvederm Volite อาจเกิดรอยแดงบริเวณที่ฉีดเนื่องจากการใช้เข็ม แต่รอยแดงเหล่านี้มักจะหายไปเองภายใน 2-3 วัน
นอกจากนี้ การบวมเล็กน้อยหลังการฉีดเป็นสิ่งที่พบได้บ่อย และเป็นปฏิกิริยาปกติของร่างกาย ในช่วงประมาณ 7-14 วันหลังการฉีดฟิลเลอร์ ฟิลเลอร์จะเริ่มเรียบเนียนไปกับผิวหนัง ทำให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและดูเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้นครับ
ข้อห้าม ข้อควรรู้ ข้อควรปฏิบัติก่อน – หลังฉีด Volite
การฉีด Juvederm Volite เป็นขั้นตอนที่ต้องใส่ใจทั้งก่อนและหลังการฉีด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง ต่อไปนี้คือข้อห้าม ข้อควรรู้ และข้อควรปฏิบัติสำหรับการฉีด Volite ที่ควรรู้ครับ
ข้อห้าม ข้อควรรู้ ข้อควรปฏิบัติก่อนฉีด Volite
- ศึกษาข้อมูลที่จำเป็น ทั้งการเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน การเลือกหมอ เทคนิคในการทำและรีวิว รวมถึงรู้ข้อมูลฟิลเลอร์ วิธีการสังเกตฟิลเลอร์แท้แต่ละยี่ห้อ เพื่อความปลอดภัยและมั่นใจว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดี คุ้มค่า
- งดยาแอสไพริน, NSAIDs และงดวิตามิน St. John’s Wort, ginko biloba, primrose oil, garlic, ginseng และ Vitamin E
- งดยาทาผลัดเซลล์ผิว เช่น Tretinoin (Retin-A), Retinols, Retinoids, Glycolic Acid หรือครีมในกลุ่ม Anti-Aging ทุกชนิด 3 วันก่อนทำหัตถการ
- งดการแว็กผิว ผลัดเซลล์ผิว การดึงขนหรือโกนขนบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์ 3 วันก่อนทำหัตถการ
- งดคอร์สเลเซอร์และนวดหน้าอย่างน้อย 3 วัน ก่อนฉีดฟิลเลอร์
- หากมีโรคประจำตัวหรือยาที่ต้องรับประทานประจำควรแจ้งแพทย์ก่อนทำทุกครั้ง
- งดดื่มแอลกอฮอล์และกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด เช่น ซาวน่า ออกกำลังกายชนิด Cardio
- เมื่อมาถึงคลินิก แพทย์จะพิจารณาให้กินยาห้ามเลือดหรือฉีดยาลดบวมในบางเคส เพื่อลดความเสี่ยงในการบวมช้ำ อักเสบติดเชื้อ
- สามารถแจ้งเพื่อขอแปะยาชาและฉีดยาชาก่อนฉีดฟิลเลอร์ หรือเลือกฉีดยาชาอย่างเดียวได้
ข้อห้าม ข้อควรรู้ ข้อควรปฏิบัติหลังฉีด Volite
- หลังฉีดฟิลเลอร์ทันที สามารถยิ้มได้ปกติครับ แต่ควรงดสัมผัสบริเวณที่ฉีด เช่น กด นวด บีบ หรือขยับผิวในจุดนั้นมากจนเกินไป เพราะอาจทำให้ตัวฟิลเลอร์เกิดการเคลื่อนไปยังจุดอื่นได้
- ในช่วง 1 เดือนแรก ควรงดการทำเลเซอร์ร้อนที่ลงผิวชั้นลึกทุกชนิด
- หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้งอย่างน้อย 48 ชั่วโมง เช่น การทำซาวน่า ตากแดด ออกกำลังกายหนัก
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผลัดผิว ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว เสริมชั้นผิวหรือเติมความชุ่มชื้น
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เพราะอาจทำให้เกิดการยุบบวมช้าหรืออักเสบได้
- 2-3 คืนแรก ควรนอนหมอนสูงกว่าระดับหน้าอก งดนอนตะแคง
- งดการทานอาหารที่ส่งผลต่อการยุบบวมของฟิลเลอร์ เป็นเวลา 14 วัน
อ่านเพิ่มเติม : หลังฉีดฟิลเลอร์ ทุกเรื่องที่ควรรู้ และการดูแลตัวเอง ให้ผลลัพธ์ชัดเจน และปลอดภัย
ข้อควรรู้ : อาหารบางประเภทจะส่งผลต่ออายุของฟิลเลอร์ การเห็นผล หรืออาจทำให้เกิดผลข้างเคียงอื่น ๆ ตามมาได้ ดังนั้นหากคนไข้ต้องการเห็นผลลัพธ์ไว อยากให้ฟิลเลอร์เข้าที่เร็ว และอยู่ได้นานขึ้น ควรเลี่ยงอาหาร 5 ประเภทที่หมอได้แนะนำไปครับ
บทความแนะนำ : หลังฉีดฟิลเลอร์ห้ามกินอะไรบ้าง ? เลือกกินอย่างระมัดระวัง ช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นาน
ฉีด Juvederm Volite กี่วันเห็นผล ? อยู่ได้นานไหม ? ฉีดแล้วคุ้มค่าไหม ?
Juvederm Volite เป็นฟิลเลอร์งานผิวที่นำมาซึ่งผลลัพธ์ที่เห็นผลการเปลี่ยนแปลงชัดเจนและอยู่ได้นาน ส่วนความคุ้มค่าของการฉีดขึ้นอยู่กับความต้องการและความพึงพอใจของแต่ละบุคคลครับ
ฉีด Juvederm Volite กี่วันเห็นผล ?
- ผลลัพธ์ทันที : หลังฉีด Juvederm Volite คนไข้สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงของผิวได้ทันทีประมาณ 80% ครับ
- ผลลัพธ์ชัดเจนเต็มที่ : เนื้อฟิลเลอร์จะค่อย ๆ เรียบเนียนไปกับผิว เห็นผลลัพธ์ชัดเจนเต็มที่ 100% ใน 2 สัปดาห์ ถ้าต้องแต่งหน้าให้เว้นบริเวณรอยเข็ม 1 คืน หลังจากนั้นสามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ
ฉีด Juvederm Volite อยู่ได้นานไหม ?
ฟิลเลอร์ juvederm volite อยู่ได้นาน 8-12 เดือนครับ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองของคนไข้ร่วมด้วย ถ้าดูแลตัวเองตามที่หมอแนะนำ ก็จะช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้นครับ
ฉีด Juvederm Volite คุ้มค่าไหม ?
การฉีด Juvederm Volite ถือเป็นการลงทุนในด้านความงามที่คุ้มค่าสำหรับหลายคน แต่ความคุ้มค่าอาจแตกต่างกันไปตามความต้องการและความพึงพอใจของแต่ละบุคคลครับ
- คุ้มค่าด้านผลลัพธ์ : หากต้องการผิวที่ดูชุ่มชื้น อิ่มน้ำ และลดเลือนริ้วรอย การฉีด Juvederm Volite สามารถให้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจหลังการฉีดเพียง 1 ครั้ง
- คุ้มค่าด้านความยืดหยุ่น : ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ เน้นฟื้นฟูคุณภาพผิว (skin quality) ให้ผิวเด้ง มีน้ำมีนวล ดูอ่อนวัย ไม่เน้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือโครงสร้างใบหน้า
- คุ้มค่าด้านระยะเวลา : ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน 8-12 เดือน ทำให้ไม่จำเป็นต้องฉีดบ่อยครั้ง
Juvederm Volite ราคาเท่าไหร่ ?
Juvederm Volite ราคาโดยทั่วไปจะอยู่หลักหมื่นกลาง ๆ เริ่มต้นที่ 14,xxx – 16,xxx บาท/cc ขึ้นอยู่กับปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้และเทคนิคการฉีดของแพทย์ รวมถึงยังขึ้นอยู่กับโปรโมชันราคาในช่วงนั้น ๆ ด้วย ก่อนฉีดแนะนำให้คนไข้สอบถามราคากับคลินิกเพื่อจะได้คำนวณงบประมาณที่เหมาะสมครับ
หมอ V Square ขอแชร์ทริคเลือกคลินิกฉีด Volite ที่ไหนดี ? ให้ไม่ผิดหวัง
เลือกฉีด Volite ที่ไหนดี ? ในหัวข้อนี้หมอจะมาแชร์ทริคเลือกคลินิกฉีด Juvederm Volite เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัยให้ได้ศึกษากันครับ
- เลือกคลินิกได้มาตรฐาน ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง มีใบอนุญาตประกอบการจากกระทรวงสาธารณสุข ติดแบบแสดงรูปถ่ายและรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ประกอบวิชาชีพในคลินิก สะอาด ปลอดภัย
- แพทย์ที่ทำหัตถการจะต้องมีประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์และปรับรูปหน้า และต้องเป็นแพทย์จริง โดยสามารถตรวจสอบจากชื่อ-นามสกุลของแพทย์ท่านนั้น คนไข้สามารถตรวจสอบข้อมูลบนเว็บไซต์ของแพทยสภาได้ ที่นี่
- ใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองจาก อย. นำเข้าและเก็บรักษาอย่างถูกต้อง สามารถตรวจสอบเลข Lot. ได้ โดยก่อนฉีดควรให้แพทย์แกะกล่อง และหลอดฟิลเลอร์ให้ดูต่อหน้า และหลังฉีดฟิลเลอร์ ควรเก็บกล่องและหลอดฟิลเลอร์กลับบ้าน เพื่อตรวจสอบว่าเป็นฟิลเลอร์แท้จริง ๆ ครับ
- มีรีวิวจากแหล่งที่เป็นกลาง เชื่อถือได้ และไม่สามารถลบออกได้ เช่น รีวิวติดดาวบน Facebook Fanpage, Pantip Review, Google Maps และต้องเป็นรีวิวที่อัปเดตเป็นปัจจุบัน ซึ่งจะแสดงถึงความนิยม มีผู้ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง
ฉีดฟิลเลอร์ Juvederm Volite ที่ V Square Clinic ดีอย่างไร ?
- V Square Clinic ได้รับรางวัลยอดสั่งซื้อฟิลเลอร์สูงสุดในประเทศไทย 5 ปีซ้อน แสดงถึงการมีผู้เข้ามาใช้บริการจำนวนมาก
- ทีมแพทย์มีประสบการณ์การฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้ากว่า 15 ปี มีใบประกอบวิชาชีพจากแพทยสภา อัปเดตความรู้ทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
- ได้ปรึกษาแพทย์โดยตรงทุกเคส ไม่ผ่านเซลส์ แก้ปัญหาตรงจุด ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ
- ใช้ฟิลเลอร์แท้แบรนด์ระดับโลก หมอแกะกล่องให้ดูต่อหน้า ให้กล่องกลับบ้าน ตรวจสอบกับผู้นำเข้าได้ทุกกล่อง
- ฉีดฟิลเลอร์ด้วยเทคนิคเฉพาะของ V Square Clinic หมอมือเบา ลดโอกาสเกิดรอยช้ำ บวมน้อย
- มีการติดตามผลหลังการฉีดฟิลเลอร์ทุกเคส และมีช่องทางติดต่อที่สะดวกทั้งหน้าคลินิกและออนไลน์ หากมีปัญหาหรือข้อสงสัยสามารถคุยกับแพทย์ได้โดยตรง
โปรโมชั่น Juvederm Volite ที่ V Square Clinic
โปรโมชั่นฟิลเลอร์ juvederm volite ราคา 14,000 / 1 CC ปกติ 16,000.- ที่ V Square Clinic คัดสรรฟิลเลอร์แบรนด์ระดับโลก มีการเก็บรักษาในอุณหภูมิที่เหมาะสม เพื่อคงคุณภาพเนื้อฟิลเลอร์ไว้ให้ได้ 100% ฉีดด้วยเทคนิคเฉพาะ Fine Art of Filler ที่ช่วยให้คนไข้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ช้ำน้อย บวมน้อย หลังทำสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติครับ
Q&A Juvederm Volite
ทำไมถึงเรียก Juvederm Volite ว่าเป็นฟิลเลอร์ ?
จริง ๆ แล้วคำว่า “ฟิลเลอร์” เป็นคำกว้าง ๆ ครับ ในด้านการแพทย์ความงาม จะหมายถึงสารเติมเต็มทุกชนิด ที่ใช้ในการฉีดเพื่อฟื้นฟูหรือแก้ไขลักษณะผิวหนัง โดยเฉพาะบนใบหน้า มักใช้เพื่อลดเลือนริ้วรอย ให้ความชุ่มชื้น เติมเต็มใบหน้าส่วนที่ยุบลงในบริเวณที่ต้องการ เช่น ใต้ตา ขมับ ริมฝีปาก แก้ม และร่องแก้ม หรือเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและความกระชับให้กับผิว
ในไทยที่แพทย์เรียกกันว่า ฟิลเลอร์ จะหมายถึงสารเติมเต็มที่มีส่วนประกอบเป็นไฮยาลูรอนิค แอซิดแท้ ซึ่ง 1 ในนั้นคือ ฟิลเลอร์ Juvederm Volite แต่บางคลินิกจะไม่ใช้คำว่าฉีดฟิลเลอร์ ใช้คำว่าฉีดไฮยาแทน เพราะเหตุผลทางการค้าครับ
ฉีดฟิลเลอร์ Juvederm Volite ใต้ตา ได้ไหม ? เห็นผลไหม ?
ฟิลเลอร์ Juvederm Volite สามารถฉีดใต้ตาได้ครับ โดยจะฉีดเติมใต้ตาชั้นตื้นเพื่อลดริ้วรอยเล็ก ๆ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวใต้ตา ซึ่งสามารถช่วยให้บริเวณใต้ตาดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้น เหมาะกับคนที่แต่งหน้า ใช้คอนซิลเลอร์กลบรอยคล้ำใต้ตาแล้วเมคอัพตกร่อง โดยจะให้ผลลัพธ์นาน 8-12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลหลังการฉีดครับ
ฉีด Juvederm Volite ไปแล้วอีกนานแค่ไหนจึงจะฉีดซ้ำ ?
การฉีดฟิลเลอร์ ไม่ว่าจะตำแหน่งไหนก็สามารถเติมใหม่ได้เรื่อย ๆ ตามความเหมาะสม โดยไม่ต้องรอให้ฟิลเลอร์ที่เคยฉีดไปแล้วสลายหมดก่อน ไม่มีผลเสียครับ ทั้งนี้แนะนำให้ประเมินผลลัพธ์ร่วมกับแพทย์ เพื่อตัดสินใจว่าควรฉีดซ้ำเมื่อไหร่ โดยพิจารณาจากคุณภาพของผิวและความพึงพอใจในผลลัพธ์ที่ได้ครับ
สรุป
Juvederm Volite เป็นฟิลเลอร์งานผิว Skinbooster ที่ช่วยเติมเต็มผิวให้ดูอิ่มน้ำ ฉ่ำวาว ลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ พร้อมปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เพียงแค่ช่วยให้ผิวดูดีขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นการฟื้นฟูผิวจากภายในสู่ภายนอก ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์และสุขภาพดีอย่างยั่งยืน
สำหรับคนที่กำลังมองหาตัวช่วยฟื้นฟูผิวให้ดูเด็กลง ผิวอิ่มน้ำ ฉ่ำวาวที่คงผลลัพธ์ได้ยาวนานถึง 8-12 เดือน หลังการฉีดเพียง 1 ครั้ง การฉีด Juvederm Volite ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าทั้งราคาและผลลัพธ์ครับ